คลังบทความของบล็อก

วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560


มาตรา 84                ผู้ใด ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็น ผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

-          หลักเกณฑ์ (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 /2546 น 586)
-          ต้องมีการกระทำอันเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด
-          ต้องมีเจตนาก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด
-          ต้องมีผล คือมีการกระทำผิดตามที่ผู้ใช้ได้ก่อให้กระทำผิด

-          ต้องมีการกระทำอันเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ( อ เกียรติขจรฯ 8/587)
-          การก่อให้ผู้อื่นกระทำผิด หมายถึง การกระทำอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นตกลงใจกระทำความผิด / หากผู้กระทำ มีเจตนาอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่อาจจะมีการก่อให้กระทำผิดได้ แต่อาจเป็นการสนับสนุน

-          ต้องมีเจตนาก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ( อ เกียรติขจรฯ 8/591)
-          เจตนาประสงค์ต่อผล ก่อให้กระทำผิด / จ้างให้ไปฆ่าคน
-          เจตนาย่อมเล็งเห็นผล ก่อให้กระทำผิด / ไล่แทงนาย ข ในซอย ซึ่งเล็งเห็นได้ว่า นาย ข ต้องหนีเข้าบ้านนาย ค ถือว่าก่อให้นาย ข บุกรุกบ้านนาย ค โดยเล็งเห็นผล

-          หากผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ต้องมีผลจากการก่อของผู้ใช้ คือมีการกระทำผิดโดยเจตนา ตามที่ผู้ใช้ได้ก่อให้กระทำผิด (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 /2546593)
-          ผู้ถูกใช้ต้องมีการกระทำ (คิด ตกลงใจ ลงมือ) และต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา (ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท และกรณีไม่มีเจตนา เนื่องจากไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด)

-          การกระทำของผู้ถูกใช้ (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 /2546/ 596)
-          หากการกระทำของผู้ถูกใช้ ไม่เป็นความผิด เพราะขาดองค์ประกอบภายนอก ไม่ถือว่าเป็นการใช้
-          ก ยุให้ ข ฆ่าตัวตาย ไม่เป็นผู้ใช้
-          หากการกระทำของผู้ถูกใช้ ไม่เป็นความผิด เพราะมีกฎหมายยกเว้นความผิด ไม่ถือเป็นการใช้ แม้จะมีเจตนาก็ตาม
-          ก เห็น ข กำลังลอบยิง ค / ก อยากให้ ข ตาย จึงรีบบอก ค / ค ยิงป้องกัน ข ตาย / ก ไม่ผิด
-          หากผู้ถูกใช้ กระทำโดยมีเจตนาแล้ว แต่มีกฎหมายยกเว้นโทษ ถือเป็นการใช้ แล้ว
-          หากผู้ถูกใช้ ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ลงมือกระทำผิดได้ ก็ไม่ใช่การใช้
-          อ เกียรติขจรฯ ถือว่าผู้ที่ใช้ให้บุคคลซึ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะกระทำความผิด ไปกระทำความผิด เป็นผู้กระทำผิดทางอ้อม
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2907/2526 จำเลยเป็นปลัดเทศบาล ใช้ให้ พ. แก้ไขสาระสำคัญของมติของสภาในรายงานการประชุมที่ ส.ทำขึ้น โดยจำเลยไม่มีอำนาจแก้ไขได้โดยพลการ ผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารตาม ป.อ.ม.265 ประกอบด้วย ม.84 จำเลยกระทำผิดในขณะเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาเอกสารนั้น จึงมีความผิดตาม ม.161 อีกบทหนึ่ง
-          ใช้ผู้ที่การกระทำ ไม่เป็นความผิด เพราะขาดองค์ประกอบ (อ เกียรติขจร ฯ 8/121)
-          แดงจำนำแหวนไว้ ใช้ให้เหลืองไปทำลาย / เหลือง เป็น IA ไม่ผิด ม 349 เพราะไม่ใช่แหวนที่เหลืองจำนำไว้กับผู้อื่น แต่ผิด ม 86+349 ส่วนแดงเป็นผู้กระทำผิดทางอ้อม
-          บังคับหรือหลอกให้ผู้เสียหาย ทำต่อตัว ผู้เสียหายเอง (อ เกียรติขจร ฯ 8/123)
-          ผู้ที่ขู่ หรือหลอก ให้ผู้อื่นดื่มยาพิษ เป็นผู้กระทำผิดโดยทางอ้อม




-          ผู้ใช้ โดยก่อให้ผู้อื่นกระทำผิด
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 679680/2471 (อ พิพัฒน์ ฎีกาสำคัญ 152) สิบตำรวจ จำเลยที่ 1 พลตำรวจ จำเลยที่ 2 และ 3 ไปจับผู้เล่นการพนัน แล้ววันรุ่งขึ้นกลับไปอีก เพื่อยึดของกลาง นายแพ ไม่ยอมให้ยึดของกลาง เกิดต่อสู้กัน ผลที่สุดนายแพวิ่งหนี จำเลยทั้งสามวิ่งตาม จำเลยที่ 2 สกัดหน้าไว้ นายแพ หันกลับมาทางจำเลยที่ 1 และ 3 จำเลยที่ 1 ร้องว่า พวกเรายิง จับเป็นไม่ได้ ให้จับตายแล้วจำเลยที่ 2 ยิงปืนไป 1 นัด ในระยะใกล้ ถูกนายแพที่ทรวงอกสิ้นสติ พฤติการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีเหตุผลอันสมควรที่ต้องใช้ปืนยิง จำเลยที่ 2 กระทำลงไปโดยคำยุยงของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และ 2 มีความผิดฐานพยายามฆ่า ส่วนจำเลยที่ 3 ไม่มีความผิด
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 363/2518 โจทก์เช่าบ้านของ ส.ต่อมาถูก ส.ฟ้องขับไล่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาขับไล่โจทก์ แต่โจทก์มิได้รับทราบคำบังคับของศาลที่ให้โจทก์ออกจากบ้านใน 1 เดือน โจทก์ฎีกา ระหว่างฎีกาโจทก์ไปต่างจังหวัดใส่กุญแจบ้าน และฝากเพื่อนบ้านให้ดูแล จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามี ส.ให้จำเลยที่ 2 ตัดหูร้อยกุญแจบ้านออก และให้จำเลยที่ 2 เข้าไปอาศัยในบ้าน เมื่อโจทก์ยังไม่ทราบคำบังคับ โจทก์ก็ยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท ซึ่งโจทก์ยังครอบครองอยู่ จำเลยเป็นผู้ใช้ให้บุกรุกตามมาตรา 362,84 โจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุก
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3566/2528 จำเลยและ อ.อยู่ในกลุ่มคนที่ส่งเสียงเอะอะโวยวาย จำเลยร้องสั่งให้ อ.ยิง ไม่ได้ความว่าทั้งสองคนมีความประสงค์ฆ่าผู้เสียหาย การที่ อ.ถือปืนหมุนไปรอบ ๆ ตัวในกลุ่มคน และยิงปืนขึ้นเป็นเหตุให้กระสุนไปถูกผู้เสียหาย อ. ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำ จึงเป็นการกระทำโดยเจตนา ส่วนจำเลยนั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด โดยการใช้ให้ อ.ใช้ปืนยิงผู้เสียหายโดยเจตนา แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเป็นแต่ยุยงส่งเสริมให้ อ.ยิง ดังนี้ เป็นเรื่องข้อแตกต่างในรายละเอียด มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณา แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ในข้อสาระสำคัญ จำเลยมีความผิด ฐานเป็นผู้ใช้โดยยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำความผิด ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตาม ป.อ. ม.288 ,80 ,84
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3611/2528 จำเลยได้ใช้ให้ ส.ฆ่า ว.ผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยมอบอาวุธปืนของกลางให้ ส.นำไปหาโอกาสยิง ว. แม้ ส.ยังมิได้กระทำผิด เพราะไม่มีโอกาสฆ่า ว. การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตาม ป.อ. ม.289 (4) ประกอบกับ ม.84 วรรคสอง
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1729/2532 จำเลยที่ 1 ขายกัญชาให้กับผู้ล่อซื้อ ในขณะที่จำเลยที่ 2 มิได้อยู่ด้วย จำเลยที่ 2 จึงมิได้เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายกัญชา การที่จำเลยที่ 2 บอกที่ซ่อนกัญชา และสั่งให้จำเลยที่ 1 ช่วยขายแก่ผู้มาซื้อ ถือได้ว่า เป็นการก่อให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดอันเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ตาม ป.อ. มาตรา 84
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3196/2534 จำเลยรับมอบเอกสารของกลางและจ่ายเงินให้ผู้นำมาส่งมอบ โดยจำเลยทราบดีว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ซึ่งแม้การที่จำเลยต้องจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนแก่ผู้นำมามอบ จะทำให้น่าเชื่อว่า จำเลยมิได้มีส่วนร่วมในการปลอมเอกสารและรอยตราในเอกสาร การกระทำของจำเลยเช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด อันเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ ตาม ป.อ. มาตรา 84 / ข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 84 แต่ฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยในฐานตัวการร่วมกระทำผิดตาม ป.อ.มาตรา 83 จึงแตกต่างจากที่ปรากฏในทางพิจารณาในสาระสำคัญ ลงโทษจำเลยฐานผู้ใช้ไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง แต่การกระทำของจำเลย ซึ่งยังถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลย ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตาม ป.อ. มาตรา 86 ได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2057/2535 จำเลยตะโกนว่า พ่อมันมาแล้ว เอามันเลย แล้ว ส. ได้ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตาย ดังนี้จำเลยต้องมีความผิดฐานยุยงส่งเสริมให้นาย ส. ฆ่าผู้ตาย ตาม ป.อ. มาตรา 84 ประกอบด้วย มาตรา 288 / โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำผิด แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ แตกต่างจากฟ้อง จึงลงโทษในความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำผิดไม่ได้ แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการสนับสนุนการกระทำผิดเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86 ด้วย ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3044/2540 เหตุเกิดเพราะการที่จำเลยที่ 1 พยักหน้าและร้องว่าเอามัน แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าร่วมทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการยุยงส่งเสริม จึงเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 84 มิใช่เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันตามมาตรา 83 ดังที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญอย่างมาก ย่อมลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง แต่การร้องบอกของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86 (จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมทำร้ายด้วย จึงไม่เกลื่อนกลืนเป็นตัวการ)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 6677/2540 อ. ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ตัดฟันต้นไม้ในที่พิพาท เพราะเชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินที่ปลูกต้นไม้ดังกล่าว เป็นของมารดาจำเลยที่ 2 ซึ่งอนุญาตให้ตัดฟันได้ การที่จำเลยที่ 2 ทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ร่วม แต่จำเลยที่ 2 กลับอนุญาตให้ตัดฟันต้นไม้รายนี้โดยอ้างว่าเป็นของมารดาจำเลยที่ 2 ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยวิธีอื่นใด จึงเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 84 (ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่าชัดว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นหรือไม่ ) / (ขส พ 2546/7) วางข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 รู้แล้วยังรับจ้างตัด โดยผู้ว่าจ้างไม่รู้ แม้ไม่ถือว่าจำเลยที่ 2 ก่อให้ผู้ว่าจ้าง กระทำผิด “ด้วยการใช้ จ้าง หรือวาน” จึงไม่ใช่ผู้ใช้ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำผิด จึงถือว่าจำเลยที่ 2 ก่อให้จำเลยที่ 1 กระทำผิด “ด้วยวิธีอื่นใดแล้ว” )

-          ไม่มีลักษณะของการใช้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 5599/2530 จำเลยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ด้วยข้อความอันมีมูลเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ แล้วหนังสือพิมพ์นำข้อความนั้นไปลงพิมพ์โฆษณา ดังนี้เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวานหรือยุยงส่งเสริมให้หนังสือพิมพ์ไปลงพิมพ์ การที่หนังสือพิมพ์นำข้อความนั้นไปลงพิมพ์ จึงเป็นเรื่องของหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะ คดีโจทก์ไม่มีมูลความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตาม มาตรา 328 (ศาลไม่ปรับว่า จำเลยก่อให้ผู้สื่อข่าว ลงข่าวหมิ่นประมาท โดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล)

-          จุดที่เกิดความรับผิดของผู้ใช้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 392/2496 จำเลยใช้ให้คนผู้หนึ่งไปเป็นผู้ว่าจ้างคนอื่น ให้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ที่จำเลยโกรธเคืองให้ถึงแก่ความตาย ดังนี้ เมื่อผู้ที่รับใช้รู้สึกสำนึกตัวกลัวความผิด ไม่ไปจ้างคนตามที่จำเลยใช้ เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยมิได้ใช้ให้ผู้นั้นกระทำความผิดด้วยตนเองโดยตรง เป็นแต่ให้ผู้นั้นหาจ้างคนมากระทำความผิดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเท่ากับใช้ให้ผู้นั้นไปกระทำความผิดตามมาตรา 174 นั่นเอง จึงอยู่ในขั้นเตรียมการ ยังห่างไกลต่อผลมาก จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา 174 วรรค 1
-          ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 24 ประจำปี พ.ศ. 2514 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 1 / นายสีใช้นายขำให้ไปจ้างนายจอนฆ่านายสงบ นายขำตกลงรับใช้นายสี แต่ต่อมาได้เปลี่ยนใจไม่ไปจ้างนายจอนตามที่ตกลงไว้ / การที่ผู้ใช้จะต้องรับโทษตามมาตรา 84 จะต้องมีการใช้ให้กระทำความผิดตามเจตนาของผู้ใช้เกิดขึ้นแล้ว การที่นายสีใช้ให้นายขำไปจ้างนายจอนฆ่าผู้อื่น ตราบใดที่นายขำยังไม่ได้ไปจ้างนายจอน ก็ยังไม่มีการใช้ให้กระทำความผิดเกิดขึ้น นายสีและนายขำจึงยังไม่ต้องรับโทษ จะถือว่าการที่นายสีใช้นายขำให้ไปจ้างนายจอน เป็นการที่นายสีใช้ให้นายขำกระทำความผิดแล้วไม่ได้ เป็นเพียงการตระเตรียมการใช้ให้นายจอนกระทำความผิดเท่านั้น (คำพิพากษาฎีกาที่ 392/2496)

-          หากผู้ถูกใช้ ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ลงมือกระทำผิดได้ ก็ไม่ใช่การใช้
-          อ เกียรติขจรฯ ถือว่าผู้ที่ใช้ให้บุคคลซึ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะกระทำความผิด ไปกระทำความผิด เป็นผู้กระทำผิดทางอ้อม
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 668/2482 เจ้าพนักงานกับราษฎร จดข้อความเท็จลงในเอกสาร ตามมาตรา 162 (แก้ไขตาม ป อาญา) โดยราษฎรเป็นผู้จดข้อความ ให้เจ้าพนักงานลงชื่อ เจ้าพนักงานผิดมาตรา 162 แต่ผู้เดียว แม้ไม่ได้จดข้อความนั้น / เพียงแต่ให้ผู้อื่นจดข้อความเท็จลงไป แล้วจำเลยลงลายมือชื่อของตนไว้ในหนังสือนั้น ก็ต้องเป็นผิดตามมาตรา 230 ได้ อ้างฎีกาที่ 533-539/2481 , จำเลยจดข้อความเท็จลงในบันทึกแจ้งความรับสินบนนำจับ ยื่นว่าจำเลยเองเป็นผู้นำจับฝิ่นได้ ขอรับค่าสินบน แล้วนำไปยื่นต่อเจ้าพนักงานดังนี้ ยังไม่มีผิดฐานปลอมหนังสือ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2907/2526 จำเลยเป็นปลัดเทศบาล และเป็นเลขานุการสภาเทศบาล แต่ไม่อยู่ ประธานสภาฯ จึงแต่งตั้งให้ ส. ทำหน้าที่เลขานุการสภาแทน จำเลยใช้ให้ พ. แก้ไขสาระสำคัญของมติของสภาในรายงานการประชุมที่ ส.ทำขึ้น โดยจำเลยไม่มีอำนาจแก้ไขได้โดยพลการ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ จึงมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารตาม ป.อ.ม.265 ประกอบด้วย ม.84 จำเลยกระทำผิดในขณะเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาเอกสารนั้น จึงมีความผิดตาม ม.161 อีกบทหนึ่ง เมื่อจำเลยนำเอกสารนั้นไปอ้างในการขออนุมัติต่อผู้ว่าราชการจังหวัด จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตาม ม. 268 อีกกระทงหนึ่ง
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2079/2536 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่กรอกข้อความ และรับรองเอกสารแบบ บ.ป.2 ซึ่งเป็นใบรับคำขอมีบัตร หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน แต่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยกรอกข้อความและรับรองเอกสาร เป็นหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้จำเลยที่ 1 ได้รับบัตรประจำตัวประชาชน และจำเลยที่ 1 ก็ได้รับบัตรประจำตัวประชาชนไปแล้ว ความผิดตาม มาตรา 157, 162 (1) เป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ซึ่งมิใช่เจ้าพนักงานเป็นผู้ใช้จ้างวานให้จำเลยที่ 2 กระทำผิดดังกล่าว ย่อมไม่สามารถรับโทษเสมือนเป็นตัวการได้จำเลยที่ 1 คงเป็นได้แต่เพียงผู้สนับสนุนการกระทำผิดเท่านั้น จึงต้องรับโทษเพียงเป็นผู้สนับสนุน

-          กรณีผู้กระทำ ไม่มีเจตนากระทำผิด ถือว่าผู้หลอกให้กระทำผิด เป็นผู้ทำด้วยตนเอง
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 422/2475 ก ใช้ ข หามศพผู้ที่ถูกฆ่า ไปยังป่าช้า เพื่อปิดบังการตาย ข ไม่รู้ว่า ก ใช้ให้กระทำเพื่อปิดบังการตาย ขาดเจตนาพิเศษ ตาม ม 199 (แก้ไขตาม ป อาญา) ข ไม่มีความผิด แต่ ก มีความผิด ดุจกระทำด้วยตนเอง (จำเลยฆ่าเขาตายโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุแล้วจำเลยใช้เขาหามศพไปไว้ที่ป่าช้า มีผิดฐาน+ความตาย เพื่อว่าคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายลูกบ้านเอาศพไปไว้ที่ป่าช้าตามคำสั่งผู้ใหญ่บ้านไม่มีผิด ชัณสูตรพลิกศพ พ.ศ.2457 ม.5 นายใสจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านได้ฆ่าเขาตายโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุแล้วนายใสจำเลยได้สั่งให้จำเลยอื่น ๆ ซึ่งเป็นลูกบ้านหามศพไปไว้ที่ป่าช้า จำเลยไม่ทราบว่านายใสเป็นผู้ฆ่าและเชื่อว่าคำสั่งนั้นชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาตัดสินว่า นายใสมีผิดตาม ม.197-64 และพ.ร.บ. ชัณสูตรพลิกศพ พ.ศ. 2457 ม. 5 ส่วนจำเลยอื่น ๆ ยังไม่มีผิดให้ปล่อยตัวไป)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1013/2504 จำเลยรู้ดีอยู่ก่อนแล้วว่า ที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยยังจ้างคนให้เข้าไปขุดดินในที่พิพาทของผู้เสียหายจนเกิดเป็นบ่อ ทำให้ที่พิพาทเสียหาย เช่นนี้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำให้เสียหาย และฐานบุกรุกตาม มาตรา 358, 362
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2060/2521 ผู้ที่จะต้องถูกจับตามหมายจับมอบตัวต่อศาลมีประกันไป เหตุที่จะจับหมดไปแล้ว จำเลยเอาสำเนาหมายจับนั้นมาให้ตำรวจจับผู้นั้นอีก เป็นความผิดตาม ป.อ. ม.310, 84 (ตำรวจไม่รู้ว่าหมายจับระงับแล้ว เป็นการสำคัญผิดตาม ม 62 ว่ามีอำนาจจับได้ตามหมายจับ ไม่ผิด เป็น innocent agent ตาม แนว อ เกียรติขจรฯ ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดทางอ้อม) (ขส เน 2525/ 9) ดำฟ้องขาว ฐานหมิ่นประมาท ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้อง ขาวไม่ไปศาลตามนัด ศาลออกหมายจับขาว ต่อมาขาวเข้ามอบตัวต่อศาล และประกันตัวไป ดำทราบว่าขาวประกันตัวแล้ว แต่ต้องการให้ถูกจับ ได้รับความอับอาย จึงนำสำเนาหมายจับไปแสดงต่อตำรวจ ขอให้จับขาว ตำรวจจึงจับขาวส่งสถานีตำรวจแล้ว ต่อมาทราบว่าขาวได้ประกันตัวจากศาล ดำและตำรวจผิดฐานใด / ขาวได้รับประกันตัวแล้ว เหตุจับตามหมายจับหมดไป ตำรวจไม่มีเหตุจับขาวโดยชอบด้วยกฎหมาย ดำทราบดีแล้ว ยังจงใจใช้หมายจับ ให้ตำรวจจับขาวอีก ตำรวจต้องจับกุมตามหมายของศาล ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในดุลยพินิจของตำรวจ ดำผิด ม 310 (ไม่ปรับ ด้วยผู้ใช้ให้กระทำผิด ตาม ม 84 เพราะตำรวจ ไม่มีเจตนากระทำผิด) (ดำผิด ม 137 ด้วย) ตำรวจจับโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตาม ม 62 ว่าเป็นการจับตามหมายจับที่ยังบังคับได้ ตำรวจไม่ผิดตาม ม 310)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2961/2522 (สบฎ เน 5868) จำเลยลักใบยาโดยใช้ ร. และ ก.ขนไป ร.ก.ไม่รู้ ไม่ได้ร่วมทำผิด จำเลยเป็นผู้ลักทรัพย์ ไม่ใช่ใช้ให้ ร.ก.ทำผิด คำของ ร.ก.มีน้ำหนักให้รับฟังได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2030/2537 จำเลยใช้เด็กหญิง ป. ไปรับยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน โดยเด็กหญิง ป. ไม่ทราบข้อเท็จจริง การที่เด็กหญิง ป. ครอบครองยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน ก็ถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองยาเสพติดให้โทษเฮโรอีนเอง

-          เปรียบเทียบ ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและใช้เอกสารปลอม
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 466/2524 จำเลยปลอมเอกสารราชการและมอบให้ ส. ไปแล้ว ส. นำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานตำรวจ โดยจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จึงเป็นเรื่องที่ส. กระทำไปโดยลำพังตนเอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ก่อให้ ส. กระทำผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม ตาม ป.อ.ม.268 ประกอบด้วย ม.84
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1508/2538 จำเลยปลอมตั๋วเครื่องบิน แล้วมอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว หรือมอบให้แก่ผู้อื่น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้มีชื่อในตั๋วต้องนำตั๋วไปใช้ในการเดินทาง ผิดฐานเป็นตัวการใช้ตั๋วเครื่องบินปลอม และถือว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงเจ้าของสายการบิน

-          ผู้เสียหาย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3842/2530 ในการขายสินค้าระหว่างบริษัทโจทก์ ผู้ขายกับองค์การ ท. ผู้ซื้อ บริษัทโจทก์ได้ตกลงยินยอมให้กำหนดจำนวนเงินที่จะเป็นค่าตอบแทน หรือค่านายหน้าให้แก่พนักงานขององค์การ ท. ที่ช่วยให้ขายสินค้าได้ เงินที่รับว่าจะให้นี้จึงเป็นเงินสินบน เมื่อการซื้อขายเสร็จบริบูรณ์จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาขายแทนบริษัทโจทก์ได้ทำหนังสือขออนุมัติจ่ายค่านายหน้า บริษัทโจทก์ได้อนุมัติให้จ่ายค่านายหน้าได้ อันเป็นการแสดงถึงเจตนาของบริษัทโจทก์ที่จะให้จำเลยที่ 1 นำเงินไปมอบให้แก่ผู้ช่วยเหลือให้ได้ทำสัญญาซื้อขาย การกระทำของบริษัทโจทก์ ถือได้ว่าบริษัทโจทก์เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ไปกระทำความผิดตาม มาตรา 84 บริษัทโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องร้องได้




-          ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 84
-          (ขส เน 2513/ 1) นายฉ่ำรับจ้างฆ่า พกอาวุธไปตามถนนหลวง เพื่อดักยิง แต่เกิดสงสารไม่ยิง ผู้ใช้ผิด ม 84 + 289 (4) รับโทษหนึ่งในสาม ตาม ม 84 2 / นายฉ่ำ ยังไม่ลงมือ ไม่เป็นการพยายามฆ่า ไม่ผิด ม 84+289 แต่ผิดพาอาวุธไปในทางสาธารณะ ม 371

-          (ขส พ 2501/ 7) ผุดใช้ผาดไปฆ่าผิว โดยใช้ปืนยิง ผุดมอบปืนให้
-          () ถ้าผาดสงสาร แกล้งยิงไม่ถูก / ผาดไม่มีเจตนาฆ่า ไม่ผิด แต่ผุดผิด ม 84 และ 288 (ดูประเด็น ม 289 (4) การกระทำของผู้ถูกใช้ ไม่ถึงขั้นลงมือ เพราะไม่มีเจตนาฆ่า ขณะกระทำ จึงไม่เป็นความผิด ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ผู้ใช้ให้ฆ่า จึงรับผิดฐานใช้ให้ฆ่าผู้อื่น โดยไม่ต้องรับผิดถึงขั้นใช้ให้ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน)
-          () ผาดยิง กระสุนพลาดไปถูกกระบือ / ผาดผิด ม 288 และ 80 ผุด ผิด ม 84 วรรคสอง กระสุนถูกกระบือ ไม่ผิด ม 358 เพราะไม่มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ (ไม่ถือเป็นการกระทำโดยพลาดตาม ม 60 เพราะวัตถุที่มุ่งหมายกระทำเป็นคนละประเภท เมื่อเจตนาฆ่า แต่เกิดผลคือความเสียหายแก่ทรัพย์ จึงถือว่าไม่มีเจตนาต่อทรัพย์)
-          () ผาดไม่ยิง แต่ใช้มีดแทง / ผาดผิด ม 288 ผุดผิดเช่นกัน แม้ไม่ได้ยิงกันตามที่ใช้ ก็ยังเป็นการฆ่า ตามเจตนาที่ผุดจ้างให้ฆ่า (ความผิดอยู่ที่การใช้ให้ฆ่า / การใช้อาวุธผิดไปจากที่มอบหมาย ก็ยังคงเป็นการฆ่าตามเจตนาที่ใช้ให้ทำ ความรับผิดฐานใช้ให้ฆ่า จึงไม่เปลี่ยนแปลง)
-          () หากก่อนยิงกัน ผุดไปห้ามไม่ให้ฆ่า / ผาดยังไม่ผิด ส่วนผุดผิด ม 84 (ดูประเด็น ม 88 หากผู้ถูกใช้กระทำถึงขั้นลงมือกระทำผิด แต่ผู้ใช้เข้าขัดขวาง ทำให้ผู้ถูกใช้กระทำไปไม่ตลอด ผู้ใช้รับผิดตาม ม 84 วรรคสองเท่านั้น / ในกรณีตามปัญหานี้ ผู้ถูกใช้ไม่ได้กระทำการถึงขั้นลงมือ จึงไม่ต้องนำ มาตรา 88 มาปรับ)
-          (ขส พ 2529/ 8) ดำฟันสีแล้ว แดงร้องบอกว่าฟันให้ตาย ดำจึงฟันสีอีก ถึงตาย แดงมิได้ก่อให้ดำทำผิด เพราะดำลงมือแล้ว แต่เป็นคำยุยง อันเป็นการสนับสนุนในการที่ดำกระทำผิด แดง ผิด ม 288 + 86 382/2512 / ดำทำชู้กับสา ต่อมา สีทุบตีสา สาเรียกให้ดำช่วย ดำรัดคอสีตาย สาก็มิได้ขัดขวางไว้ แสดงว่าสารู้เห็นเป็นใจกับสี ตามที่ตนร้องขอความช่วงเหลือ สากำชับบุตรห้ามบอกใคร และหลอกเพื่อนบ้านว่าผัวเมียตีกัน ทั้งที่ดำกำลังทำร้ายสี เห็นเจตนาได้ชัดว่าทำเพื่อให้ความสะดวกในการที่ดำทำร้ายสี ผิด ม 288+86 1113-4/2508

-          (ขส อ 2531/ 6) นำใบเสร็จไปคืน รพ ของราชการ ขอให้แก้ยอดเงินเพิ่ม เมื่อเบิกได้แล้วจะนำมาแบ่ง / จนท รพ ผิด ม 264+266 + 161 + 149 ยอมจะรับ / คนขอผิด ม 144+ ผู้ใช้ ม 264+266+84 (คนขอ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ขาดคุณสมบัติอันเป็นองค์ประกอบภายนอก ไม่อาจเป็นผู้ใช้ได้ จึงไม่สามารถเป็นตัวการได้ จะต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ม 86) + นำไปเบิก ม 268+341
-          (ขส อ 2542/ 3) จ้างไปฆ่า ม 289 (4) + 84 คนจ้างปัดปืน ม 88 (ผู้ใช้รับ 1/3 ของ ม 289 (4)) คนยิง 1 289+80 แต่ยับยั้งเอง ม 82 (ลักษณะตัวการยังไม่ขาดตอนเลย ไปด้วยกัน) คนยิง 2 ถูกปัดปืน ม 289+80 กระสุนถูกทรัพย์ ไม่ผิด ม 358 ไม่มีเจตนา / ผู้สนับสนุน ม 289+86 รับโทษ 2/3
-          (ขส อ 2542/ 6) สินสมรส ชื่อของสามี คดีฟ้องหย่า พิพากษาให้แบ่งที่ดิน สามีขายไป ผิด ม 352 +187+90 / คนแนะนำให้ขายและซื้อเอาไว้ ผิด ม 352+187+86 (น่าจะ ม 84 และเกลื่อนกลืนเป็นตัวการ ม 83) +357+90 / เมียน้อยรับเงินจากสามีโดยรู้ ไม่ผิด ม 3571 ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาโดยตรง

มาตรา 85                ผู้ใด โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดนั้น และความผิดนั้นมีกำหนดโทษไม่ต่ำกว่าหกเดือน ผู้นั้นต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
ถ้าได้มีการกระทำความผิด เพราะเหตุที่ได้มีการโฆษณาหรือประกาศตามความในวรรคแรก ผู้โฆษณาหรือประกาศต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ

-          คำพิพากษาฎีกาที่ 688/2477 (อ พิพัฒน์ ฎีกาสำคัญ 155) พลตำรวจร้องบอกราษฎรในการจับผู้ร้ายว่า จับเป็นไม่ได้ ให้จับตายราษฎรจึงเข้าทำร้ายผู้ตาย ถึงแก่ความตาย เป็นการกล่าวแก่คนทั่วไปให้กระทำความผิด ตามมาตรา 85



มาตรา 86                ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็น ผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

-          หลักเกณฑ์ ( อ เกียรติขจรฯ 8/617)
-          ต้องมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น
-          ผู้สนับสนุน กระทำด้วยประการใด อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวก
-          โดยเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก
-          ก่อน หรือขณะกระทำความผิด
-          ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะรู้ หรือไม่รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้น

-          ต้องมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ( อ เกียรติขจรฯ 8/617)
-          หมายถึง การกระทำถึงขั้นที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
-          การกระทำความผิดนั้น ต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา ไม่ใช่กระทำโดยประมาท
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2800/2522 (สบฎ เน 5870) การสนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อาญา ม.86 นั้น จะต้องมีผู้อื่นเป็นตัวการในการกระทำผิด หากเป็นกรณีที่ไม่มีตัวการกระทำผิดในความผิดดังกล่าว ผู้ช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในความผิดนั้น ก็ย่อมไม่มีความผิดในฐานเป็นสนับสนุน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 4547/2530 จำเลยที่ 1 เป็นนายทะเบียนยานพาหนะจังหวัดจำเลยที่  2 เป็นผู้ช่วยเสมียนยานพาหนะจังหวัดเดียวกัน  เมื่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการไม่ได้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 จึงไม่อาจจะมีผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนความผิดดังกล่าว
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 217/2531 จำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารหนังสือขอเบิกเงิน และเอกสารประกอบ ให้ตรงกับที่ได้รับอนุมัติและเป็นหลักฐานว่าได้ดำเนินการแล้ว เพื่อขอเบิกเงินจากทางราชการมาจ่ายให้แก่ราษฎรผู้รับจ้าง เมื่อปรากฏว่ายอดเงินที่ระบุในเอกสารทั้งสี่ฉบับ ตรงกับยอดเงินที่จำเลยได้จ่ายให้แก่ราษฎรไปแล้ว จำนวนดินที่ไม่ตรงกันนั้น ก็ขุดได้มากกว่าที่ระบุไว้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดทุจริต แม้จำนวนดินและจำนวนเงินที่ระบุในเอกสารจะไม่ตรงกับความจริงไปบ้าง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นตามฟ้อง จำเลยอื่นซึ่งโจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด จึงไม่ได้กระทำผิดเช่นกัน เพราะเมื่อไม่มีการกระทำผิด จึงไม่อาจเกิดการกระทำที่เป็นการสนับสนุนให้กระทำผิดได้ เหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดี
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1337/2534 (จำเลยที่ 1 ขับรถลาก จำเลยที่ 2 ถือพวงมาลัยรถพ่วง จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าหากต้องรับผิด ก็เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำโดยประมาท) ผู้สนับสนุนในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดนั้น มีได้เฉพาะการสนับสนุนผู้ลงมือกระทำความผิดโดยเจตนาเท่านั้น ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดโดยประมาท ไม่อาจมีได้ตามกฎหมาย เพราะผู้สนับสนุน ต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลในการสนับสนุนด้วย โดยสภาพจึงไม่อาจมีการช่วย เหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำผิดโดยประมาทได้ / จำเลยทั้งสองร่วมกันควบคุมรถยนต์บรรทุกสองคันลากจูงกัน โดยจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกลากจูงรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่ง ซึ่งจำเลยที่ 2 ขับควบคุมถือพวงมาลัย จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ร่วมกันตามกฎหมาย ที่จะต้องร่วมกันจัดทำแผ่นป้ายแสดงข้อความ ว่ารถกำลังลากจูง และต้องจัดให้มีและเปิดโคมไฟ หรือจุดไฟแสงสาดส่องที่ป้ายดังกล่าว ฯลฯ เพื่อให้แสงสว่างเพียงพอสำหรับผู้ใช้ถนน หรือผู้ที่ขับรถยนต์ตามหลังมามองเห็นได้ว่ามีการลากจูง จำเลยทั้งสองสามารถกระทำ และใช้ความระมัดระวังดังกล่าว แต่ไม่ได้กระทำ เป็นการละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมาย

-          ผู้สนับสนุน กระทำด้วยประการใด อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวก ( อ เกียรติขจรฯ 8/619)
-          ไม่จำกัดวิธีการ แม้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ความผิดเกิดขึ้น ก็ถือเป็นการสนับสนุน
-          ไม่จำต้องช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวก แก่ผู้กระทำผิดโดยตรง อาจเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกกันเป็นทอด ๆ
-          อาจเป็นการสนับสนุน โดยใช้คำพูดก็ได้
-          การนิ่งเสีย ไม่ละเว้น หรือไม่ห้ามปราม การกระทำผิด ไม่ถือเป็นการสนับสนุน เว้นแต่เป็นการงดเว้น คือ มีหน้าที่ต้องป้องกันผล แต่ไม่กระทำการป้องกัน / ฎ 1123/2526 จำเลยที่ 2 ทราบเรื่องจำเลยที่ 1 จะฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงใช้ให้ ว. เข้าไปตลบมุ้งของผู้ตาย แล้วจำเลยที่ 1 เข้าไปตีผู้ตาย โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะห้ามได้ แต่ไม่ห้าม กลับไปยืนฟังอยู่ข้างห้องนอน ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการกระทำความผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 แต่เป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการฆ่าจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
-          การใช้ให้กระทำผิดตาม มาตรา 84 และการร่วมกระทำความผิดตาม มาตรา 83 ก็ถือเป็นการสนับสนุนอย่างหนึ่ง หากคำฟ้องกล่าวอ้างฐานะของผู้กระทำผิด พลาดไป ถือว่า ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบ ต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในคำฟ้องในสาระสำคัญ ไม่อาจลงโทษผู้กระทำผิดตามฐานะของผู้นั้นได้ แต่ปรับบทลงโทษผู้นั้นในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิดได้

-          การสนับสนุนกระทำความผิด ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับประโยชน์จากการกระทำของผู้สนับสนุนด้วย
-          ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 56 ประจำปี พ.ศ. 2546 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 2 / ส่วนที่นายน้อยนำอาวุธปืนของตนไปไว้ที่บ้านของนายใหญ่ แม้นายน้อยมีเจตนาช่วยเหลือ ในการที่นายใหญ่กระทำความผิด แต่เมื่อนายใหญ่มิได้ใช้อาวุธปืนของนายน้อยยิงนายอ้วน นายใหญ่ไม่ได้ประโยชน์จากการช่วยเหลือของนายน้อย นายน้อยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของนายใหญ่

-          โดยเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก ( อ เกียรติขจรฯ 8/622)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2301/2528 จำเลยทั้งสองกับผู้ตายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน วันเกิดเหตุ บ. ชวนจำเลยทั้งสองไปเที่ยวโดยนั่งรถสามล้อไปด้วยกัน เมื่อผ่านหน้าบ้านผู้ตายพบผู้ตาย บ. ผละลงจากรถไปยิงผู้ตายโดยกระทันหัน เพราะมีเรื่องอาฆาตกันอยู่เดิม ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้รู้หรือร่วมคบคิดกับ บ.มาก่อน แม้เมื่อ บ.ยิงผู้ตายแล้ว จะย้อนกลับมาขึ้นรถสามล้อดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 ถีบไป และจำเลยที่ 2 จะเคยไปถามหาผู้ตายก่อนเกิดเหตุ พฤติการณ์เพียงเท่านี้จะถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนในการฆ่าผู้ตายหาได้ไม่
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 5299/2533 การที่จะลงโทษบุคคลฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดใด จะต้องได้ความว่าบุคคลนั้น มีเจตนาที่จะสนับสนุนการกระทำความผิดนั้น โดยรู้ว่าตนได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ก่อนหรือขณะกระทำความผิด การขนย้ายน้ำตาลทรายออกนอกบริเวณโรงงาน มิใช่เป็นการกระทำผิดเสมอไป จะเป็นความผิดต่อเมื่อการขนย้ายนั้นฝ่าฝืนระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด ระเบียบดังกล่าวนี้มีว่าอย่างไร ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริง ถึงแม้จะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็หาใช่ข้อกฎหมายไม่ เมื่อโจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยทราบระเบียบของคณะกรรมการ จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาช่วยหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3923/2542 ผู้เสียหาย ส. และ ป. ประจักษ์พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า จำหน้าคนร้ายได้และยืนยันว่าจำเลยทำหน้าที่เป็นคนขับรถจักรยานยนต์ แต่มิใช่คนร้ายที่ไล่ยิงผู้เสียหาย โดยขณะเกิดเหตุจำเลยยังคงนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมา และขณะนั้นได้ดับเครื่องรถตลอดเวลาด้วย ทั้งผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อถูกยิง 1 นัดแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีคนร้ายไล่ตามมาทำร้ายอีก และไม่เห็นหน้าคนร้าย และจำเลยร่วมกันหลบหนีไปทางใด ลักษณะเช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลย ไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะช่วยเหลือพากันหลบหนีได้ทันที อีกทั้งผู้เสียหายกับจำเลยต่างไม่เคยรู้จักกันและไม่มีสาเหตุใด ๆ ต่อกันมาก่อน เมื่อจำเลยถูกจับกุม ก็ได้แจ้งชื่อคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย กับนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมคนร้าย จนสามารถยึดอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์มาเป็นของกลางอีกด้วย รูปคดีทำให้มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยได้ช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง

-          ผู้สนับสนุนรับผิด ภายในขอบเขตแห่งเจตนาช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวก ตามมาตรา 89
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1449/2532 เมื่อจำเลยยิงผู้ตายแล้ว ผู้เสียหายได้เข้าไปแย่งปืนจากจำเลยและกอดปล้ำกัน ระหว่างกอดปล้ำกัน ก.วิ่งเข้ามาหาจำเลย จำเลยจึงส่งอาวุธปืนให้แก่ ก.โดยจำเลยมิได้พูด หรือแสดงกิริยาอาการใด ที่จะพึงให้เข้าใจได้ว่าจำเลยมีเจตนาให้ ก.ยิงผู้เสียหาย เมื่อ ก.ได้รับอาวุธปืนจากจำเลยแล้ว ก็หาได้ยิงผู้เสียหายในทันทีไม่ แต่ได้ถอยหลังออกไปก่อน เมื่อผู้เสียหายเข้าไปแย่งอาวุธปืนจาก ก.อีกจึงถูกยิง เช่นนี้ ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทราบ หรือคาดหมายได้ว่า ก.มีเจตนายิงผู้เสียหาย ถือไม่ได้ว่าจำเลยช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ ก.ยิงผู้เสียหาย ตาม ป.อ. มาตรา 86
-          เปรียบเทียบ กรณีตัวการ / คำพิพากษาฎีกาที่ 353/2520 คนร้ายยิงผู้เสียหายในการปล้น โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน คนร้ายอื่นมิได้มีเจตนาร่วมด้วย ไม่เป็นตัวการในฐานพยายามฆ่าคนร่วมกับผู้ยิง / จำเลยที่ 4 ใช้ปืนขู่ปล้นทรัพย์ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรค 2 และเพิ่มโทษอีกตาม  มาตรา 340 ตรี จำเลยอื่นที่ไม่ใช้ปืนมีความผิดตาม มาตรา 340 วรรค 2 ไม่ผิด มาตรา 340 ตรี (การปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืน โดยปกติคาดหมายได้ว่าหากเจ้าทรัพย์ขัดขืน ผู้ร่วมปล้นอาจยิงเจ้าทรัพย์ถึงตายได้ จึงน่าจะถือว่าไม่เกินเจตนาที่ร่วมกัน เว้นแต่ไม่รู้มาก่อนเลย หรือตกลงกันไว้ชัดว่าจะไม่ยิงทำอันตรายเจ้าทรัพย์ / เทียบ ฎ 2207/2532 แม้จำเลยจะไม่ได้เป็นคนใช้อาวุธปืนยิง ช.ด้วยตนเอง แต่พวกของจำเลย รวมทั้งจำเลยเอง ก็มีอาวุธปืนติดตัวมาด้วยในการปล้นทรัพย์ “จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่า” พวกของจำเลยอาจใช้อาวุธปืนยิงผู้ใดผู้หนึ่งในรถคันเกิดเหตุ หากผู้นั้นขัดขืนเพื่อความสะดวกในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อพวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิง ช.แต่ ช.ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น เพื่อความสะดวกในการปล้นทรัพย์ด้วย)

-          ก่อน หรือขณะกระทำความผิด ( อ เกียรติขจรฯ 8/623)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2154/2516 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมปรึกษาหารือกับจำเลยที่ 3 เพื่อจะไปลักกระบือ แล้ววางแผนให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.ไปซุ่มรอรับกระบือที่หัวทุ่ง จำเลยที่ 3 กับพวกไปต้อนกระบือของผู้เสียหายมาส่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.สถานที่ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.รอรับกระบือกับสถานที่ที่จำเลยที่ 3 และพวกไปต้อนกระบือนั้นอยู่ไกลกันมาก จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะร่วมมือกับจำเลยที่ 3 ขณะจำเลยที่ 3 กับพวกกระทำการลักกระบืออันจะถือว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นตัวการ แต่พฤติการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ส่งเสริมอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 3 กับพวกในการที่จะไปลักกระบือ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นผู้สนับสนุนก่อนกระทำผิด (สังเกต หากเป็นตัวการ จะเป็นเหตุฉกรรจ์ตาม ม 335 (7))

-          การช่วยเหลือ "หลัง" กระทำความผิด ไม่เป็นการสนับสนุน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 249/2500 คนร้ายลักโคจูงมาระหว่างทางพบจำเลย จำเลยช่วยคนร้าย ไล่ต้อนโคโดยรู้ว่าเป็นโคของผู้อื่นและเมื่อพวกเจ้าทรัพย์มาพบก็วิ่งหนีไปด้วยกัน ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้สมคบหรือสมรู้กับคนร้ายใน การลักทรัพย์
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3869/2536 ในเมื่อขณะคนร้ายลักทรัพย์ จำเลยมิได้ร่วมกระทำผิดหรือ สนับสนุนการกระทำผิดด้วยแล้ว ดังนี้ การที่จำเลยอยู่ที่บ้าน ล. ในขณะที่คนร้ายนำของที่ลักมาเก็บที่บ้าน ล.นั้น เป็นเหตุการณ์ หลังจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์แล้ว จึงไม่อาจลงโทษจำเลยใน ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ได้ / ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความจากนายแล ยอดเกตุ พยานโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่พบของกลางว่า ในคืนนั้นจำเลยมานอนอยู่ ที่บ้านนายแลยังได้พูดคุยกันเรื่องเลี้ยงโค ต่อมาก็ได้ยินเสียง แว่ว ๆ ว่า นายณรงค์ศักดิ์ได้นำของมาลงไว้ที่บ้านให้จำเลยช่วย ยก นายแลไม่ได้ออกไปดูว่าเป็นของอะไร จนเวลา 5 นาฬิกา นายแล ตื่นมาไม่พบจำเลยกับนายณรงค์ศักดิ์ เห็นแต่ของพวกพัดลมตั้งพื้น กับเทปเพลงใส่อยู่ในลัง ต่อมาจำเลยก็พาเจ้าพนักงานตำรวจมายึดของ เหล่านั้นไป แสดงว่าในขณะคนร้ายลักทรัพย์จำเลยมิได้ร่วมกระทำผิด หรือสนับสนุนการกระทำความผิดในขณะนั้น แม้หลังจากการกระทำผิด ฐานลักทรัพย์แล้ว นายณรงค์ศักดิ์จะนำของที่ลักมาเก็บที่บ้าน นายแล ก็เป็นเหตุการณ์หลังจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์แล้ว ไม่อาจลงโทษในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังที่ศาลล่าง ทั้งสองพิพากษา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น (อาจเป็นความผิดฐานรับของโจร ตามมาตรา 357 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335(1)(3)(7)(8), 336 ทวิ, 357 ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง อาจเป็นเพราะไม่มีการนำสืบว่ารับไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิด หรืออาจเป็นเพราะกฎหมายวิธีพิจารณาความ)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3971/2548 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้รถแบ๊กโฮขุดตักดินในที่สาธารณประโยชน์ อันเป็นการทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ที่หิน ที่กรวด หรือที่ทรายในบริเวณที่รัฐมนตรีประกาศหวงห้ามในราชกิจจานุเบกษา ต่อมาจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นประธาน สภาตำบลได้จัดทำบันทึกการประชุมสภาตำบลอันเป็นเท็จว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ดำเนินการขุด ตักดินได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 มิใช่เป็นการเตรียมทำเอกสารไว้ ก่อนมีการขุดตักดินในที่สาธารณประโยชน์หรือ นำไปใช้อ้างอิงในการขุดตักดินดังกล่าว อันจะเป็นการแสดงเจตนาในการมีส่วนร่วมเข้าไปขุดตักดินในที่ สาธารณประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 3 ไม่เป็นตัวการร่วมกระทำความผิด กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตาม ป. ที่ดิน มาตรา 9 (2) ประกอบมาตรา 108 ทวิ

-          ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะรู้ หรือไม่รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้น ( อ เกียรติขจรฯ 8/626)
-          คำพิพากษาฎีกาที่  1478/2510 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ร่วมกันทำร้ายผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 2 ,3 ไม่ได้ทำร้าย และไม่ได้ร่วมรู้เห็นในการทำร้ายมาก่อน แต่ได้จ้องปืนมาทางพยานโจทก์ พูดห้ามไม่ให้คนอื่นเกี่ยวข้อง ในการที่จำเลยที่ 1 ,4 ทำร้ายผู้ตายจึงเป็นการช่วยเหลือ และให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1,4 แม้จำเลยที่ 1 ,4 จะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม จำเลยที่ 2,3 ก็เป็นผู้สนับสนุน แต่ไม่ใช่ตัวการ
-          ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 23 ประจำปี พ.ศ. 2513 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 2 / นางพนอแง้มหน้าต่างเพื่อให้คนเข้ามาลักทรัพย์ นายโทนดึงบานหน้าต่างเปิดออกเพื่อลักทรัพย์แล้ว แม้นายโทนจะไม่รู้ถึงการให้ความสะดวกของนางพนอก็ตาม การกระทำของนางพนอ ก็เป็นการสนับสนุนการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 86
-          ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 56 ประจำปี พ.ศ. 2546 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 2 / การที่นายเล็กแอบนำอาวุธปืนไปไว้ที่บ้านนายใหญ่ โดยประสงค์ให้นายใหญ่ใช้ยิงนายอ้วนและนายใหญ่ได้ใช้อาวุธปืนของนายเล็กยิงนายอ้วน เป็นการช่วยเหลือในการที่นายใหญ่กระทำความผิด แม้นายใหญ่จะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือนั้นก็ตาม นายเล็กย่อมเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 81 และมาตรา 86

-          การสนับสนุนในลักษณะที่เกี่ยวพันกับผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนด้วยกันเอง
-          การใช้ผู้สนับสนุน / ขาว (ผู้ใช้ผู้สนับสนุน) จ้างให้เหลือง (ผู้สนับสนุน) เอาปืนไปให้แดง (ผู้ลงมือทำผิด) ใช้ฆ่าดำ ถือว่าขาวเป็นผู้สนับสนุนแดงอีกคนหนึ่ง (มาตรา 86)
-          การสนับสนุนผู้ใช้ / แดง (ผู้ใช้) ต้องการจ้างเหลือง (ผู้ลงมือทำผิด) ไปฆ่าดำ ปรากฏว่าขาว (ผู้สนับสนุนผู้ใช้) รู้เหตุการณ์ดังกล่าว บอกที่อยู่ของเหลือให้แก่แดง ถือว่าขาวเป็นผู้สนับสนุนผู้ใช้ คือสนับสนุนผู้กระทำผิดอีกคนหนึ่งนั่นเอง (มาตรา 86)
-          ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 37 ประจำปี พ.ศ. 2527 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 3 / . ต้องการฆ่า . แต่ไม่รู้ว่าจะไปจ้างมือปืนที่ไหน . จึงแนะนำ . ไปจ้าง . ซึ่งเป็นมือปืนไปฆ่า . . ไปจ้าง . ตามที่ . แนะนำ . ไปยิง . ตาย / . ซึ่งช่วยแนะนำ . ให้ไปจ้าง . ทำการฆ่านั้น เป็นผู้สนับสนุนการใช้ให้ฆ่า ต้องถือว่า . เป็นผู้สนับสนุนการฆ่าตามมาตรา 289 (4) , 86 นั่นเอง
-          การสนับสนุนผู้สนับสนุน / แดง (ผู้กระทำผิด) ต้องการฆ่าดำ เหลือง (ผู้สนับสนุน) รู้เหตุการณ์ดังกล่าว ต้องการเอาปืนให้แดง เขียว (ผู้สนับสนุนผู้สนับสนุน) รู้เหตุการณ์ดังกล่าว จึงบอกที่อยู่ของแดงให้แก่เหลือง ถือว่าเขียวเป็นผู้สนับสนุนผู้สนับสนุน คือเป็นผู้สนับสนุนโดยทางอ้อม (มาตรา 86)

-          กรณีที่ไม่จำต้องปรับความรับผิดตาม ป.อาญา มาตรา 86
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 394/2502 ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามบัญชี ข. โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นได้มี พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 12 บัญญัติความผิดไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่มีผิดฐานสมรู้สนับสนุนผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 อีก

-          กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด       ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3194/2536 จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นข้าราชการครูได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ในการสอบแข่งขัน ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานในการสอบครั้งนี้ หาใช่เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เฉพาะในช่วงการสอบสัมภาษณ์ เท่านั้นไม่ เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีเจตนาทุจริตร่วมกันนำข้อสอบซึ่งเป็นความลับของทางราชการไปเปิดเผยให้ บ. กับพวกรู้ก่อนเข้าสอบ จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำโดยมิชอบด้วยหน้าที่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับในราชการ และจำเลยที่ 4 ที่ 5 ซึ่งเป็นข้าราชการครู ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิด แต่มิได้เป็นกรรมการสอบ ผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 , 3

-          กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด       ความผิดเกี่ยวกับเพศ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1489/2543 จำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันพาผู้เสียหายไปที่บ้านเกิดเหตุ เพื่อกระทำชำเรา จำเลยที่ 3 กระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอม จึงไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา แต่เมื่อจำเลยที่ 3 ออกไปจากห้องแล้วปล่อยให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และพวกอีก 2 คน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายในห้องทีละคนโดยจำเลยที่ 3 มิได้ขัดขวาง หรือห้ามปรามแต่อย่างใด ถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และพวกอีก 2 คน ก่อนหรือขณะกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราในลักษณะเป็นการโทรมหญิงจำเลยที่ 3 จึงมีความผิดเป็นผู้สนับสนุนตาม ป.อ. มาตรา 86

-          กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด   ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 888/2518 ทำหนังสือค้ำประกันหนี้ ที่ปลอมสัญญากู้ขึ้น แต่ทำภายหลังที่ได้ทำสัญญากู้ปลอมเสร็จขาดตอนแล้ว ไม่เป็นความผิดฐานสนับสนุนปลอมเอกสาร

-          กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด       ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2413/2526 จำเลยที่ 2 ถือมีดปอกผลไม้และท้าทายให้ออกมาสู้กัน เมื่อผู้ตายถือไม้ออกมาจะต่อสู้กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ได้ทิ้งมีดและหยิบไม้ตีผู้ตาย1 ครั้ง แล้วไม้ที่ถือก็ร่วงไป และเกิดกอดปล้ำกันขึ้น ผู้ตายจิกผมจำเลยที่ 2 กดต่ำลง จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงผู้ตายไปในขณะนั้นไม่มีโอกาสเลือกแทงได้ถนัด บังเอิญไปถูกอวัยวะสำคัญไต้ราวนมซ้าย ลึกทะลุกล้ามเนื้อหัวใจผู้ตายจึงถึงแก่ความตาย ดังนี้ ยังไม่พอฟังว่ามีเจตนาฆ่าผู้ตาย คงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเท่านั้น / เมื่อมีผู้ห้ามมิให้จำเลยที่ 2 กับผู้ตายทะเลาะกันจำเลยที่ 1พูดให้จำเลยที่ 2 กับผู้ตายทะเลาะและต่อสู้กัน เมื่อจำเลยที่ 2 ถือมีดออกมาจากบ้าน จำเลยที่ 1 ก็เดินตามหลังมาติด ๆ เป็นการสมทบกำลัง และให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 2 จะต่อสู้กับผู้ตาย เมื่อผู้ตายถือไม้ออกมาและจำเลยที่ 2ทิ้งมีด จำเลยที่ 1 ก็บอกให้จำเลยที่ 2 เก็บมีดไว้กับตัว เป็นการช่วยเหลือแนะนำถึงวิธีต่อสู้ก่อนที่จะเข้าต่อสู้กัน ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3116/2527 ล.นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยลงมา พูดทำนองบังคับผู้ตายให้กลับรถของจำเลย ใช้ปืนจี้ท้ายทอยและลั่นไก แต่กระสุนไม่ลั่น จึงใช้ปืนตีศีรษะ แล้วร้องบอกให้จำเลยติดเครื่องรถรอ จำเลยก็ติดเครื่องรถรอจน ล.มาถึงรถจำเลย แล้วยิงไปที่ผู้ตาย 1 นัด เมื่อขึ้นคร่อมท้ายรถแล้ว ล.ยิงไปอีกหลายนัด ขณะเดียวกันจำเลยก็ขับรถพาหลับหนีไป การติดเครื่องรถรออยู่เป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ ล.ยิงผู้ตาย เป็นการให้กำลังใจว่า เมื่อยิงแล้วมีโอกาสซ้อนรถจำเลยหลบหนีไปได้ทันท่วงที และปลอดภัย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการสนับสนุนการกระทำผิดของ ล. ตาม ป.อ.ม.86
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 545/2528 ผู้ประสงค์จะฆ่าผู้ตายติดต่อกับจำเลยที่ 3 ให้หาคนมายิงผู้ตายและจำเลยที่ 3 เป็นผู้ติดต่อพาจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาพบผู้ว่าจ้างและได้รับมอบปืน 2 กระบอกจากผู้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 วันเกิดเหตุ ผู้ว่าจ้างพาจำเลยทั้งสามมาดูตัวผู้ตาย ขณะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยิงผู้ตายจำเลยที่ 3 ยืนอยู่คนละฝั่งถนนมีมีดปลายแหลมติดตัว หากจำเลยอื่นยิงพลาด จำเลยที่ 3 ก็คงจะไม่เข้าช่วยเหลือโดยซ้ำเติมหรือทำอันตรายแก่ผู้ตายอีก เพราะไม่มีอาวุธปืน การที่จำเลยที่ 3 อยู่ในที่เกิดเหตุ ก็เพียงคอยวิ่งนำหน้าพาจำเลยที่ 1 ที่ 2 หลบหนีไปในเส้นทางที่ตนชำนาญเท่านั้น เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ในการฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ 3 เป็นเพียงผู้สนับสนุนมีความผิดตาม ป.อ. ม.289 (4) ประกอบด้วย ม.86
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3828/2528 ท.สามีจำเลยทะเลาะกับพี่สะใภ้ แล้วชักปืนสั้นยิงพี่สะใภ้ถึงแก่ความตาย พ.เข้าไปช่วยภรรยา ท.ยิง พ.ถูกโคนขา จำเลยยืนอุ้มบุตรอยู่เฉย ๆ เมื่อ พ.เข้าปล้ำแย่งปืนจาก ท.แล้ว ท.ร้องบอกให้จำเลยไปเอาปืนลูกซองยาวบนบ้าน จำเลยจึงวิ่งขึ้นบนบ้านหยิบปืนมาให้ ท.ซึ่งอาจเป็นเพราะกลัวว่า พ. แย่งปืนได้แล้วจะยิ่ง ท. ดังนี้จำเลยเพียงช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ ท.จะยิง พ. การกระทำของจำเลยจึงเป็นการสนับสนุนการกระทำผิดของ ท. ตาม ป.อ. ม.86
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 599/2529 ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันฆ่าผู้อื่น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายท้าทาย ณ กับพวกขึ้นไปต่อสู้กันบนฝั่งแม่น้ำ ณ พวกของจำเลยถือปืนยาวขึ้นไปบนฝั่ง แต่ปรากฏว่าไม่มีกระสุนปืน ณ. ตะโกนให้จำเลยหยิบกระสุนปืนไปให้  ซึ่งจำเลยก็ทำตาม ต่อมา ณ.ทะเลาะกับผู้ตายและใช้ปืนนั้น ยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่ ณ. ในการกระทำผิด  จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตาม ป.อ.288,86
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1451/2531 จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มาดักยิง ศ. เมื่อ ส. ขับรถปิคอัพมาถึงที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าเป็น ศ. เพราะไม่รู้จักมาก่อนจึงจ้องปืนเล็งไปยัง ส.โดยมีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรอง แต่ ส.โบกมือให้ทราบว่าตนมิใช่ ศ.จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้ยิง ดังนี้ เป็นการลงมือกระทำความผิดแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด  จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (4), 80 / จำเลยที่ 2 ให้รถจักรยานยนต์และปืนแก่จำเลยที่ 1 ไปใช้ยิง ศ. ดังนี้จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 4444/2531 ส. ชกหน้าผู้เสียหาย 1 ที ผู้เสียหายล้มลงแล้วลุกขึ้นยืนในระหว่างนั้น จำเลยส่งปืนสั้นให้แก่ ส. ส.ใช้ปืนกระบอกนั้นยิ่งผู้เสียหาย 1 นัด กระสุนปืนถูกที่แขนขวาเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย แม้จำเลยจะอยู่ด้วยในที่เกิดเหตุก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ร้องบอกหรือสั่งให้ ส. ยิงผู้เสียหาย หรือมีส่วนเกี่ยวข้องร่วมมือกับการกระทำของ ส.แต่อย่างใด การที่ ส.จะยิงผู้เสียหายหรือไม่ อยู่ที่การตัดสินใจของ ส.เอง การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ ส.ในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 4947/2531 การที่จำเลยเพียงแต่ร้องบอกว่า "เอามันให้ตายเลย" แล้วพวกของจำเลยได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายนั้น เป็นการที่จำเลยก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ตามมาตรา 84 แต่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน จะลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดไม่ได้ แต่การที่จำเลยร้องบอกดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม มาตรา 86 ศาลมีอำนาจลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ / ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บฟกช้ำที่ใบหน้าด้านซ้าย เพียงแห่งเดียวแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาประมาณ 7 วัน ยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามมาตรา 295 ผู้กระทำความผิดคงมีความผิดตาม มาตรา 391 จำเลยเป็นผู้สนับสนุนความผิดดังกล่าวอันเป็นความผิดลหุโทษ จึงไม่ต้องรับโทษตาม มาตรา 106
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 5121/2531 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ และวางแผนให้จำเลยที่ 1 กับพวกกระทำความผิด ได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ / วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกอีก 1 คน มานอนที่บ้านมารดาผู้ตายก่อน จำเลยที่ 1 บีบคอผู้ตาย จำเลยที่ 2 ได้เรียกมารดาผู้ตายออกมาจากห้องนอน พาลงจากบ้าน และใช้ผ้าขาวม้ามัดมือไพล่หลัง ใช้มีดปลายแหลมขู่ มิให้มารดาผู้ตายขัดขวางการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ดังนี้ จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1

-          กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด   ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1134/2512 จำเลยทั้งสองกับพวกได้มาที่บ้านผู้เสียหายด้วยกัน แต่จำเลยที่ 1 หยุดอยู่ตรงบ้านผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 2 กับพวกหาได้หยุดไม่ คงเดินเลยบ้านผู้เสียหายไป 10 วาจึงหยุด เมื่อเป็นดังนี้ การที่จำเลย ที่ 1 ยิงผู้เสียหายโดยลำพังตนเอง จึงไม่แน่ว่าจำเลยที่ 2 จะได้ร่วมกันเพื่อมาทำร้ายผู้เสียหาย เพราะอาจฟังว่า จำเลยที่ 1 มาพบผู้เสียหาย และด้วยเคยมีเรื่องกันมาก่อน ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ได้ร้องบอกให้จำเลยที่ 1 ยิงซ้ำจำเลยที่ 1 ก็หาได้กระทำตามที่จำเลยที่ 2 ร้องบอกไม่ กลับวิ่งไป แล้วจำเลยทั้งสอง  กับพวกก็พากันหนีไป การกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ยังไม่พอฟังว่าเป็นผู้สนับสนุน ตาม มาตรา 86
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1449/2532 เมื่อจำเลยยิงผู้ตายแล้ว ผู้เสียหายได้เข้าไปแย่งปืนจากจำเลยและกอดปล้ำกัน ระหว่างกอดปล้ำกัน ก.วิ่งเข้ามาหาจำเลย จำเลยจึงส่งอาวุธปืนให้แก่ ก.โดยจำเลยมิได้พูด หรือแสดงกิริยาอาการใด ที่จะพึงให้เข้าใจได้ว่าจำเลยมีเจตนาให้ ก.ยิงผู้เสียหาย เมื่อ ก.ได้รับอาวุธปืนจากจำเลยแล้ว ก็หาได้ยิงผู้เสียหายในทันทีไม่แต่ได้ถอยหลังออกไปก่อน เมื่อผู้เสียหายเข้าไปแย่งอาวุธปืนจาก ก.อีกจึงถูกยิง เช่นนี้ ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทราบหรือคาดหมายได้ว่า ก.มีเจตนายิงผู้เสียหาย ถือไม่ได้ว่าจำเลยช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ ก.ยิงผู้เสียหาย ตาม ป.อ.มาตรา 86
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3205/2536 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันเข้าไปยิงผู้ตายซึ่งนอนรักษาตัว อยู่ในโรงพยาบาลถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 รู้แผนการ จอดรถรออยู่นอกโรงพยาบาล เพื่อรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 หลบหนี อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก่อนกระทำผิด จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตระเตรียมอาวุธปืนมายิงผู้ตาย โดยวางแผนมาล่างหน้า จำเลยที่ 1 จอดรถรอรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 250 เมตร ไม่สามารถเห็นเหตุการณ์ หรือให้ความช่วยเหลือจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในขณะกระทำการยิงผู้ตายได้เพราะอยู่ห่างไกลและมีตึกบัง ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 แบ่งหน้าที่ในการฆ่าผู้ตายมาทำส่วนหนึ่ง จึงไม่เป็นการร่วมในการกระทำผิด
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 6103/2541 ขณะผู้ตายถูกทำร้ายผู้ตายอยู่ลำพังคนเดียว มีเพียงเหล็กแบนท่อนหนึ่งเป็นอาวุธ จำเลยที่ 1 ใช้ไม้หน้าสามตีแขนผู้ตายจนล้มไป และ ส. ใช้เหล็กท่อนตีท้ายทอยผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 2 ถือเหล็กแบนอยู่ในมือยืนอยู่ใกล้ ๆ แม้จำเลยที่ 2 จะรวมอยู่ในกลุ่มของ ส. และการทำร้ายผู้ตาย มีสาเหตุสืบเนื่องมาจากผู้ตายวิวาทกับพวกจำเลยที่ 2 แต่ก็เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า และเมื่อผู้ตายถูก ส. ทำร้าย ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกอีก จึงไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกต่อจำเลยที่ 1 และ ส.ก่อนหรือขณะกระทำผิด จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่ผู้สนับสนุน ส. ฆ่าผู้ตาย

-                    กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด       ความผิดข้อหาทำให้แท้ง
-                    คำพิพากษาฎีกาที่ 6443/2545 คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้หญิงคนหนึ่งไม่ทราบชื่อทำให้นางสาว ป. ผู้เสียหายแท้งลูกโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม ป.อ. มาตรา 83 , 84 , 303 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายไปหาจำเลยที่ 1 ที่บ้านและถูกจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเรา หลังจากนั้นเมื่อผู้เสียหายไปตรวจร่างกายที่สถานีอนามัยจึงทราบว่าผู้เสียหายตั้งครรภ์ ต่อมาจำเลยทั้งสามมาหาผู้เสียหายที่บ้านโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถ จำเลยที่ 2 เป็นมารดาจำเลยที่ 1 แล้วพาผู้เสียหายไปหาผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อทำแท้ง ระหว่างทางจำเลยที่ 3 ลงจากรถไปก่อน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายเข้าไปทำแท้งในบ้านหลังหนึ่งโดยผู้เสียหายยินยอมให้ทำแท้งลูก ระหว่างการทำแท้งจำเลยที่ 1 นั่งขวางประตูบ้านอยู่ด้วย พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทำความผิดในการที่ผู้อื่นทำแท้งผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ตามมาตรา 302 วรรคแรก ประกอบมาตรา 86 แม้โจทก์จะมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรานี้ ศาลก็ย่อมลงโทษได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย เพราะการทำให้แท้งลูกไม่ว่าหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติเป็นความผิดทั้งนั้น หากแต่กำหนดโทษหนักเบาต่างกัน

-          กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด   ความผิดต่อเสรีภาพ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1173/2521 ตำรวจกำลังค้นหาตัวผู้ถูกเอาตัวไปเรียกค่าไถ่ จำเลยร้องบอกตำรวจ โดยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย ว่ามีตำรวจมา 2 คันรถ แต่จำเลยไม่ใช่ผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวของตำรวจ ดังนี้ จำเลยไม่ใช่ผู้สนับสนุนการเรียกค่าไถ่

-          กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด       ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ กรณีลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 587/2496 จำเลย 2 คน ได้ร่วมรู้กับคนร้าย ไปในการปล้นทรัพย์ แต่ไม่ได้ไปลงมือทำการปล้นด้วย เป็นการแต่นั่งรออยู่ในรถยนต์ ซึ่งคนร้ายใช้เป็นพาหนะไปปล้น จอดอยู่ห่างที่เกิดเหตุราว 20 เส้น เมื่อคนร้ายปล้นได้ทรัพย์แล้ว ก็มาขึ้นรถ จำเลยทั้งสองก็กลับมารถพร้อมกัน จำเลยคนหนึ่งเป็นคนขับรถยนต์นั้น ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยทั้ง 2 ได้กระทำการอุดหนุนแก่ผู้กระทำผิดในการปล้นทรัพย์ มีผิดฐานสมรู้ ยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวการ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 50/2511 จำเลยคอยรับถุงแป้งมันสำปะหลังจากคนร้ายที่ลักมาลงบรรทุก เรือของจำเลยซึ่งจอดคอยรับบรรทุกอยู่ที่ท่าน้ำริมตลิ่งห่างจากโกดังที่ คนร้ายไปเอาแป้งมา 30 วา อันมิใช่รับส่งกันในที่เกิดเหตุ จึงถือว่า เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ดังนี้ จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ประกอบ ด้วยมาตรา 86
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2154/2516 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมปรึกษาหารือกับจำเลยที่ 3 เพื่อจะไปลักกระบือ แล้ววางแผนให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.ไปซุ่มรอรับกระบือที่หัวทุ่ง จำเลยที่ 3 กับพวกไปต้อนกระบือของผู้เสียหายมาส่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.สถานที่ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.รอรับกระบือกับสถานที่ที่จำเลยที่ 3 และพวกไปต้อนกระบือนั้นอยู่ไกลกันมาก จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะร่วมมือกับจำเลยที่ 3 ขณะจำเลยที่ 3 กับพวกกระทำการลักกระบืออันจะถือว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นตัวการ แต่พฤติการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ส่งเสริมอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 3 กับพวกในการที่จะไปลักกระบือ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นผู้สนับสนุนก่อนกระทำผิด (สังเกต หากเป็นตัวการ จะเป็นเหตุฉกรรจ์ตาม ม 335 (7))
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1556/2518 จำเลยที่ 3 จ้างให้จำเลยที่ 2 พาไปหารถมาบรรทุกไม้ จำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 3 ไปติดต่อกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกไปจอดรออยู่ที่หลังสถานีรถไฟ จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 3 นั่งซ้อนท้ายไปจอดอยู่ใกล้กับรถบรรทุก ขณะนั้นมีไม้กระดานของผู้เสียหาย ซึ่งได้ฝากเก็บไว้ ใต้ถุนบ้านพักคนงานรถไฟถูกลักจากที่เก็บมากองไว้ บริเวณนั้น จำนวนหนึ่งแล้ว จำเลยที่ 3 บอกว่าจะเข้าไปขนไม้มาอีก จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 3 กำลังเข้าไปลักไม้ที่เหลือออกมาอีก จำเลยที่ 2 จึงไปรออยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟ ส่วนจำเลยที่ 1 อยู่ที่รถบรรทุก เมื่อได้ไม้ตามจำนวน ที่ต้องการแล้ว จะได้ขนไม้ทั้งหมด ขึ้นบรรทุกรถพาหนีไป แต่ตำรวจมาตรวจพบและจับกุมเสียก่อน การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังนี้ ถือได้ว่าได้ส่งเสริมอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 3 กระทำการลักทรัพย์ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน การกระทำผิดของจำเลยที่ 3
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1124/2519 จำเลยร่วมคิดวางแผนกับพวก จำเลยจอดรถยนต์ห่างที่เกิดเหตุ 80 เมตร มีศาลาบังมองไม่เห็น พวกจำเลยวิ่งราวทรัพย์แล้ววิ่งมาขึ้นรถหนีไปตามแผน จำเลยเป็นผู้สนับสนุน รถยนต์ไม่ได้ใช้กระทำผิด ไม่ริบ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1732/2522 จำเลยรับเอาแผนการปล้นโดยนำรถบรรทุกสินค้าไปหยุด ณ ที่กำหนด ให้พวกปล้นเอารถและสินค้าไป ไม่มีพฤติการณ์อื่นว่าจำเลยร่วมกระทำในขณะปล้น จึงเป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2663/2522 จำเลยที่ 1 ขับรถแล่นขึ้นล่องไปมาในท้องที่เกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุและขับรถตามหลัง แล้วแซงขึ้นหน้ารถโดยสารคันที่ถูกปล้น เพื่อคอยช่วยเหลือจำเลยอื่น ขณะทำการปล้นอยู่ในรถ ทั้งเพื่อคอยรับพาหลบหนีหลังจากการปล้นทรัพย์เสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด มิใช่เป็นตัวการร่วมปล้นทรัพย์ด้วย โดยการแบ่งหน้าที่กันทำ เพราะมิได้มาในรถโดยสารและร่วมปล้นด้วย เมื่อจำเลยอื่นร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนการปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธด้วย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3347/2525 จำเลยที่ 1 ชวนผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานไปดูภาพยนตร์ขากลับ เมื่อมาระหว่างทาง จำเลยที่ 1 จอดรถและเข้าไปปัสสาวะข้างทาง กลับมามีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามมาด้วย จำเลยที่ 3 ตรงไปเอารถจักรยานถีบไป แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 เข้าใช้กำลังประทุษร้ายพรากผู้เสียหายไป ดังนี้ เป็นการให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำความผิด จำเลยที่ 3 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. ม. 86, 318
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 757/2528 จำเลยเป็นบุตรของผู้เสียหาย อันเกิดจากภรรยาคนเดิมเคยอาศัยอยู่ที่บ้านผู้เสียหาย จำเลยรู้ว่าพวกคนร้ายจะทำการปล้นทรัพย์ จำเลยได้ผูกสุนัขดุไว้ และพาพวกคนร้ายเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย ดังนี้ เป็นการช่วยเหลือ และให้ความสะดวกแก่คนร้ายในการปล้นทรัพย์ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดปล้นทรัพย์
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2118/2529 ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีก 2 คนร่วมปล้นทรัพย์และฆ่าผู้อื่นตาย ปรากฏว่าจำเลยเพียงแต่ช่วยวางแผนให้คนร้าย 2 คนไปกระทำผิดใน สวนยางและขณะคนร้าย 2 คนไปกระทำความผิดตามแผนที่วางแผนไว้ จำเลยยืนอยู่นอกสวนยาง ห่างสวนยางชั่วระยะตะโกนกันได้ยิน ใน ช่วงระยะเวลาที่คนร้าย 2 คนดังกล่าวกระทำความผิด นางสาวอ. บุตรผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ผ่านจำเลยเข้าไปในสวนยางที่ เกิดเหตุจำเลยก็มิได้ส่งสัญญาณให้คนร้าย 2 คนดังกล่าวทราบหรือ เข้าช่วยคนร้าย 2 คนนั้น คงยืนอยู่เฉย ๆ เมื่อคนร้าย 2 คน นั้นกระทำความผิดตามที่วางแผนไว้สำเร็จแล้ว คนร้ายคนหนึ่ง หลบหนีไปทางอื่น คนร้ายอีกคนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ผ่านหน้าจำเลยไปแล้ว จำเลยก็กลับบ้าน การกระทำของจำเลย ดังกล่าวยังไม่ถึงขั้นเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับ คนร้าย 2 คนนั้นโดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เป็นการช่วยเหลือหรือ ให้ความสะดวกในการที่คนร้าย 2 คนดังกล่าวกระทำความผิด จำเลย จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของคนร้าย 2 คนดังกล่าว. / เมื่อปรากฏว่าคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ของผู้ตายโดยใช้ กำลังประทุษร้ายโดยการยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวก แก่การลักทรัพย์และพาเอาทรัพย์ไปจนเป็นเหตุให้เจ้าทรัพย์ ถึงแก่ความตายมี 2 คน การกระทำของคนร้าย 2 คนดังกล่าวจึงเป็น ความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย. / เสื้อแจกเกตของคนร้ายที่ทิ้งไว้รวมกับบางส่วนของทรัพย์สินของ ผู้ตายที่คนร้ายชิงไปถือไม่ได้ว่าเสื้อตัวนี้เป็นทรัพย์สิน ที่คนร้ายได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด นอกจาก นี้เสื้อดังกล่าวยังมิใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ศาลจะริบเสื้อดังกล่าวไม่ได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3985/2530 จำเลยที่ 2 ขับรถสามล้อเครื่องพาจำเลยที่ 1 มายังที่เกิดเหตุขณะที่จำเลยที่ 1 กำลังลักทรัพย์ในร้านผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 จอดรถอยู่บริเวณหน้าร้านผู้เสียหายห่างประมาณ 6-7 เมตรและนั่งอยู่เฉย ๆ ข้างรถสามล้อเครื่องมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเอาทรัพย์ผู้เสียหายไป มิได้คอยดูต้นทางให้จำเลยที่ 1 หรือให้ความร่วมมือ โดยใกล้ชิดกับการที่จำเลยที่ 1 ลักทรัพย์ของผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 เพียงแต่รอคอยอยู่เพื่อจะขับรถพาจำเลยที่ 1 ออกไปจากที่เกิดเหตุ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำการอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ก่อนและขณะกระทำผิด จำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แต่เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด / จำเลยที่ 2 เพียงแต่ขับรถสามล้อเครื่องมาส่งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ลักทรัพย์ผู้เสียหาย ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้รถสามล้อเครื่องดังกล่าวเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์  พาทรัพย์ไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมจำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 336 ทวิ คงมีความผิดตามมาตรา 335 วรรคสามเท่านั้น
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3091/2531 จำเลยที่ 5 มิได้มีเจตนาร่วมลักทรัพย์ แต่ขับรถยนต์กระบะเข้ามาจอดตรงบริเวณที่มีลูกปาล์ม ซึ่งจำเลยอื่นได้ลักตัดจากต้นปาล์มของผู้เสียหาย นำมากองไว้ โดยจำเลยที่ 5 ได้นัดหมายกับจำเลยอื่นไว้ก่อนแล้ว ว่าจะมาขนลูกปาล์มไป หลังจากจำเลยอื่นลักทรัพย์เสร็จสิ้นแล้วนั้น เท่ากับว่าจำเลยที่ 5 ได้ตกลงช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยอื่นกระทำความผิด ไว้ตั้งแต่ก่อนกระทำความผิดแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 5 เป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ของจำเลยอื่น
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 5087/2533 จำเลยที่ 2 เป็นภรรยาจำเลยที่ 1 ในวันเกิดเหตุจำเลยทั้งสอง ไปซักผ้าที่บ่อน้ำหน้าบ้านของโจทก์ร่วมด้วยกัน แต่จำเลยที่ 1 แยกตัวไปก่อน แล้วจำเลยที่ 2 ได้เข้าไปชวน ส. มารดาของโจทก์ร่วม ซึ่งอยู่เฝ้าบ้านให้ออกไปเก็บใบพลู ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือ จำเลยที่ 1 ให้เข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของโจทก์ร่วมได้โดยสะดวก และหลังจากมีเสียงสุนัขเห่าซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้าไปใน บ้านของโจทก์ร่วมแล้ว ส. จะกลับ จำเลยที่ 2 ก็ได้ชวนคุยต่อ อันถือได้ว่าเป็นการหน่วงเวลาไว้เพื่อให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งกำลังเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านโจทก์ร่วมกระทำผิดได้ต่อไป การกระทำ ของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ทั้งก่อนและขณะเข้าไปลักทรัพย์ของโจทก์ร่วม อันเป็นความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3257/2537 การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพระภิกษุร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้าไปในห้องเกิดเหตุ แล้วจำเลยที่ 2 จากไปด้วยอาการรีบร้อน เป็นพฤติการณ์ที่เปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ลงมือทำร้ายและ ลักทรัพย์ของผู้เสียหาย และอาวุธปืนที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 ก็เป็น อาวุธปืนกระบอกเดียวกับที่จำเลยที่ 2 นำไปฝากไว้แก่พยานโจทก์ และจำเลยที่ 2 ไปขอคืนมาในตอนเช้าวันเกิดเหตุ ข้อเท็จจริง ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 ยังไม่ถึงขั้น เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เป็น เพียงผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำผิดเท่านั้น / ก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 4 เป็นผู้พาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไปชี้ห้องที่เกิดเหตุเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 4 เป็นเพียง ผู้สนับสนุน มิใช่ตัวการร่วมกระทำผิด แม้จำเลยที่ 4 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยที่ 4 ให้ถูกต้องได้ / โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 92, 340, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ให้จำเลยทั้งสี่ ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์พระพุทธรูปที่แตกหักเป็นเงิน 20,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ริบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และรถยนต์ ของกลางและเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย / ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวัน เวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้เข้าไป ในห้องที่เกิดเหตุลักเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น ราคา 5,000 บาท พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนหน้าตัก 8 นิ้ว 1 องค์ ราคา 20,000 บาท พระพุทธรูปแก้วสีน้ำตาลหน้าตัก 8 นิ้ว 1 องค์ ราคา 20,000 บาท ของ ผู้เสียหายไป โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืน ต่อสู้ระหว่างหลบหนีการจับกุม ทรัพย์สองรายการแรกผู้เสียหาย ได้รับคืนแล้ว ส่วนพระพุทธรูปแก้วสีน้ำตาลจำเลยที่ 1 ทำตกแตกในบริเวณที่เกิดเหตุ คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ ได้ร่วมกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริง จากพยานหลักฐานของโจทก์เห็นได้ว่าการที่จำเลยที่ 2 ร่วมทางกับ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไปยังห้องพักที่เกิดเหตุในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2534 และได้พูดกับนางชีฟองเพียงว่า มาจากวัดบ่อไร่ จังหวัดตราด จะมาซื้อของไปทอดผ้าป่า หากกลับวัดบ่อไร่ไม่ทันจะขอพัก ค้างคืนที่นั่น ซึ่งดูไม่เป็นสาระประการใด พฤติการณ์ส่อว่าจำเลย ที่ 1 ถึงที่ 3 พากันไปดูลู่ทางเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์มากกว่า และในวันถัดไปคือวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามดังกล่าวได้ไปยัง ห้องพักดังกล่าวอีก ทั้งที่ไม่ปรากฏว่ามีธุระจำเป็นใดที่จะต้องไปยัง สถานที่ดังกล่าวอีก การที่จำเลยที่ 2 ไปเพียงเข้าห้องน้ำแล้วจากไป ด้วยอาการรีบร้อน เป็นพฤติการณ์ที่เปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ลงมือทำร้ายผู้เสียหายและลักเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป และอาวุธปืน ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากจำเลยที่ 1 ในขณะจับกุมก็เป็น อาวุธปืนพกลูกซองมีทะเบียน นว.6/14802 ซึ่งมีกระสุนปืนบรรจุอยู่ 3 นัด ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นอาวุธปืนกระบอกเดียวกับที่จำเลยที่ 2 นำไปฝากสิบตำรวจตรีสุวัฒน์ชัยไว้ และไปขอคืนมาในตอนเช้า วันเกิดเหตุ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมืองหมู่บ้าน และ ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร / ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ ด้วยนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 2 นำจำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้าไปในห้องที่เกิดเหตุ แล้วออกไปก่อนที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ลงมือกระทำความผิดการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงยังไม่ถึงขั้น เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เป็นเพียงผู้สนับสนุนให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 กระทำความผิด / อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ได้ไปยังห้องที่เกิดเหตุกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย คงได้ความแต่เพียงว่าก่อนเกิดเหตุหนึ่งวัน จำเลยที่ 4 เป็นผู้พาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไปชี้ห้องที่เกิดเหตุเท่านั้น ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 4 จึงเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก ก่อนการกระทำความผิด มิใช่ตัวการในการกระทำความผิด เมื่อปรากฏว่า ขณะเกิดเหตุมีเพียงจำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้าไปลักทรัพย์ผู้เสียหาย โดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการอุดปากและทุบแก้มผู้เสียหายจนฟันหัก 1 ซี่ เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ และการพาทรัพย์นั้นไป เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่น ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย ที่ศาลล่าง ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้น วินิจฉัยปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้ถูกต้องได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195 วรรคสอง
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 16/2544 จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสายไฟฟ้าเก่าของผู้เสียหายที่วางอยู่ตามพื้นในโรงงานมาวางบนเหล็กร้อน ทำให้เปลือกสายไฟฟ้าไหม้ละลายหมดเหลือแต่ลวดทองแดงที่เป็นซากของสายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเอาทรัพย์นั้นไปขายก็มิใช่แปรสภาพไปเป็นของอื่น ถือว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เริ่มลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นับแต่ที่นำสายไฟฟ้าไปวางบนเหล็กร้อนและเป็นความผิดต่อเนื่องกันมา จนกระทั่งขนย้ายลวดทองแดงออกจากโรงงาน ไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่นอกรั้วโรงงาน แต่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โยนทรัพย์ออกมาประมาณ 100 เมตร ไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ไม่ใช่แบ่งหน้าที่กันทำในส่วนที่เป็นการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการ คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น / การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงานเพื่อบรรทุกทรัพย์ไปย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว / สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่น เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่ / จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไป จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรง จึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33(1)
-          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 674/2545 จำเลยที่ 4 เข้าไปแอบซ่อนตัวอยู่ในช่องเก็บสัมภาระใต้ท้องรถ เพื่อลักทรัพย์ของผู้โดยสาร โดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ด้วยความรู้เห็นเป็นใจของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขับรถ ขณะนำรถมาจอดและรับประทานอาหาร การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 4 ลักทรัพย์ผู้เสียหาย จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

-          กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด   ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ กรณีลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2028/2535 พฤติการณ์ที่ปรากฏในบันทึกคำรับสารภาพชั้นจับกุม และบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 รู้ถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นสามีว่าจะไปชิงทรัพย์ผู้ตาย และขณะที่จำเลยที่ 1 ล็อกคอผู้ตาย จำเลยที่ 2 ก็รีบปลีกตัวออกมาจากที่เกิดเหตุ ยังถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมเป็นตัวการในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ผู้ตายร่วมกับจำเลยที่ 1 เพราะไม่ได้มีการแบ่งหน้าที่กันทำความผิด เมื่อจำเลยที่ 2ไม่ได้ร่วมกระทำผิดตามเจตนาเช่นนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน ทั้งการนัดหมายระหว่างจำเลยทั้งสองว่าหากจำเลยที่ 1 ลงมือกระทำผิดขณะใด ให้จำเลยที่ 2 หลบไปจากที่นั้น ก็ไม่ใช่การร่วมมือหรือเป็นการกระทำผิดในทางอาญาเช่นกัน

-          กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด       ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ กรณีฉ้อโกง
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3789/2533 จำเลยที่ 4 เป็นพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 1 สาขาลำพูนทราบดีว่า สำนักงานสาขาลำพูนของบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินทุนดำเนินการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้นำเงินค้ำประกันการเข้าทำงาน ของพนักงานมาจ่าย แต่จำเลยที่ 4 ก็ยังดำเนินการรับสมัครงานตลอดมาตามพฤติการณ์ จำเลยที่ 4 ย่อมทราบดีว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีงานการรับสมัครพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 1 สาขาลำพูนดังกล่าว เป็นการหลอกลวงประชาชน เพื่อให้ได้เงินประกันการเข้าทำงานซึ่งจำเลยที่ 4 ก็ยังคงดำเนินการให้การหลอกลวงนั้น บรรลุผลเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่บริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กระทำผิดจำเลยที่ 4 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 811/2534 สามีจำเลยได้ประกาศชักชวนหลอกลวงประชาชนในหมู่บ้านว่าสามารถ จัดหางานให้ไปทำที่ประเทศสิงค์โปร์ได้ เมื่อผู้เสียหายมอบเงิน ให้สามีจำเลย จำเลยก็นั่งอยู่ด้วย สามีจำเลยรับเงินจากผู้เสียหาย แล้วส่งให้จำเลย จำเลยรับเงินไว้และพูดว่าหากไม่ได้ไปจะคืนเงินให้ แสดงว่าจำเลยรู้ว่าความจริงสามีจำเลยไม่สามารถพาพวกผู้เสียหาย ไปทำงานต่างประเทศได้ การที่จำเลยรับเงินและพูดดังกล่าวจึงเป็น การพูดสนับสนุนให้พวกผู้เสียหายเชื่อในคำชักชวนของสามีจำเลยยิ่งขึ้น อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่สามีจำเลย กระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชน จึงมีความผิดฐานสนับสนุนการฉ้อโกงประชาชน / ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนวันเวลาเกิดเหตุ นายทวี ไหวมาก สามีของจำเลยได้ประกาศชักชวนหลอกลวงประชาชนในหมู่บ้านตำบลหนองกุลา อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ว่า สามารถจัดหางานให้ไปทำงานที่ ประเทศสิงคโปร์ได้ ทำให้ผู้เสียหายทั้งเจ็ดหลงเชื่อและมอบเงิน ให้นายทวีรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 80,000 บาท แต่นายทวีไม่สามารถ จัดหางานให้ได้ ขณะผู้เสียหายทั้งเจ็ดมอบเงินให้นายทวีสามีของจำเลย จำเลยได้นั่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย นายทวีรับเงินจากผู้เสียหายแล้ว ส่งเงินต่อให้จำเลย จำเลยได้รับเงินไว้ และจำเลยยังได้พูดกับพวก ผู้เสียหายว่า หากไม่ได้ไปจะคืนเงินให้ นายทวีและจำเลยเป็นสามี ภรรยากันย่อมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด การที่จำเลยพูดกับพวก ผู้เสียหายว่า หากไม่ได้ไปจะคืนให้ก็เป็นการแสดงว่าจำเลยรู้ว่า ความจริงนายทวีไม่สามารถพาพวกผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศได้ แม้ จะได้ความว่าก่อนวันรับเงินจำเลยเคยถามนายทวีต่อหน้านางหน่วยว่า นายทวีสามารถพาไปได้จริงหรือเปล่าก็ตาม แต่จำเลยก็ยังพูดข้อความ ดังกล่าวและรับเงินที่นายทวีรับไว้จากพวกผู้เสียหายด้วย อันเป็น การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่นายทวีกระทำความผิด ฐานฉ้อโกงประชาชนหรืออีกนัยหนึ่ง เป็นการพูดสนับสนุนให้พวก ผู้เสียหายเชื่อในคำชักชวนของนายทวียิ่งขึ้น การกระทำของจำเลย จึงมีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3533-3535/2535 จำเลยที่ 2 เป็นบิดาจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมหลอกลวงโจทก์ร่วม หรือพวกผู้เสียหายมาตั้งแต่ต้น นอกจากช่วยพูดจารับรองกับโจทก์ร่วม และพวกผู้เสียหายในวันสมัครงานว่าจำเลยที่ 1 สามารถส่งคนไปทำงาน ต่างประเทศได้จริงและพูดจารับรองว่าจะคืนเงินให้หากไม่ได้ไปหรือ ไปแล้วไม่ได้ทำงานเท่านั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แล้ว / ในสำนวนแรกและสำนวนที่สามโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่า ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าสามารถ จัดส่งคนงานไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน และฟ้องสำนวนที่สองว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครอง คนหางาน พ.. 2528 เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พวกของจำเลยที่ 1 ได้จัดส่งโจทก์ร่วมและผู้เสียหายบางส่วนในสำนวน ที่สองซึ่งเป็นชุดเดียวกับสำนวนแรกและสำนวนที่สามไปทำงานในประเทศ สิงคโปร์ และบางส่วนให้ไปรอเข้าประเทศสิงคโปร์อยู่ที่ประเทศ มาเลเซียก่อน แต่ในที่สุดคนสมัครงานทุกคนก็ถูกส่งกลับประเทศไทย โดยไม่ได้เข้าทำงานที่ประเทศไต้หวันตามที่จำเลยที่ 1 กับพวก หลอกลวงไว้แม้แต่คนเดียว การส่งโจทก์ร่วมและผู้เสียหายไปประเทศ สิงคโปร์หรือประเทศมาเลเซียนั้นจึงเป็นเพียงวิธีการหรืออุบาย อย่างหนึ่งในการกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นชุดเดียวกัน นั่นเอง โดยจำเลยที่ 1 กับพวกไม่ได้มีเจตนาที่จะจัดหางานหรือ ส่งคนสมัครงานไปทำงานในประเทศที่หลอกลวงไว้แต่อย่างใด และจาก พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมก็รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกเคยส่งคนสมัครงานไปทำงานที่ประเทศไต้หวันจริง การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน พ.. 2528 อีกบทหนึ่ง

-          กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด   ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ กรณีฉ้อโกง
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1584/2529 ผู้เสียหายติดต่อกับบุตรจำเลย จนตกลงใจจะไปทำงานต่างประเทศ ได้ไปทำหนังสือเดินทางเสร็จ และกำหนดวันจ่ายเงินค่าตอบแทนแก่บุตรจำเลย เมื่อนำเงินไปจ่ายตามนัด แม้จำเลยจะอยู่ด้วยช่วยนับเงินและพูดเสริมคำของบุตรที่รับรองว่าหากไปไม่ได้งานทำ ก็จะคืนเงินให้ ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการกระทำของบุตร จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานสนับสนุนการฉ้อโกงตาม ป.อ. ม.341, 86

-          กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด       ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามกฎหมายพิเศษ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2597/2516 คำฟ้องในตอนแรกกล่าวว่า สซึ่งเป็นพนักงานขับรถยนต์ ขององค์การ ร... ร่วมกับจำเลยและพวกลักเอาผ้าปูพื้นเต็นท์สนาม ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบขององค์การ ร... และบรรทุกมาในรถที่ ส. ขับ ในตอนต่อไปกล่าวว่า การกระทำของ ส. ดังกล่าวเป็นการเบียดบังทรัพย์ที่อยู่ในความครอบครองขององค์การ ร... ในขณะที่ ส. มีหน้าที่จัดการและรักษาทรัพย์นี้ตามหน้าที่ไป เป็นประโยชน์ของตนและผู้อื่นโดยทุจริต  จำเลยกับพวกเป็นผู้สนับสนุน การกระทำของ ส. เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไป  กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์ บรรยายฟ้องประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.. 2502 มาตราซึ่งมีอัตราโทษหนักนั่นเอง และในกรณีเช่นนี้การกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดฐานสนับสนุนผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.. 2502 เท่านั้น หาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335  ด้วยไม่

-          กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด       ความผิดเกี่ยวกับการครอบครอง หรือพาอาวุธ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2173/2514 จำเลยที่ 1 เคยเหมาเรือยนต์ของจำเลยที่ 4 ไปเอาอาวุธปืนเป็นประจำ โดยจำเลยที่ 4 รู้ว่าจำเลยที่ 1 ได้อาวุธปืนนั้นไปสำหรับการค้า การที่จำเลยที่ 4 รู้แล้วยังใช้เรือเป็นพาหะรับส่งจำเลยที่ 1 อีกเช่นนี้ ถือเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการกระทำความผิด ฐานมีอาวุธปืนไว้นครอบครอง จำเลยที่ 4 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

-          กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด       ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1809/2530 การที่จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ปิดเปิดประตูบ้านให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ซึ่งพาผู้ซื้อเข้าไปดูเฮโรอีนที่บ้าน และหลังจากนั้นจำเลยที่ 2 เดินออกจากบ้านพร้อมจำเลยที่ 1ซึ่งนำเฮโรอีนไปส่งแก่ผู้ซื้อก็ดี การที่จำเลยที่ 3 เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับผู้ซื้อก็ดีและการที่จำเลยที่ 4 เข้ามาร่วมกับจำเลยที่3 เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อถามถึงเรื่องส่งมอบ จำเลยที่ 4 ไปตามจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของของผู้ครอบครองเฮโรอีนมาเจรจาก็ดี เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ร่วมครอบครองเฮโรอีนด้วย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการขายเฮโรอีน จึงเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

-          กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด       ความผิดเกี่ยวกับการไม้หวงห้าม หรือป่าไม้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2183/2522 จำเลยรับจ้างบรรทุกไม้ขึ้นบรรทุกรถยนต์ โดยรู้ว่าเป็นไม้หวงห้ามผิดกฎหมาย โดยเจ้าของควบคุมไปด้วย ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีไม้ของกลางไว้ในความครอบครอง แต่เป็นผู้สนับสนุนตาม ป.อ. ม.86
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3418/2524 ขณะเกิดเหตุ เจ้าของได้ครอบครองไม้ของกลางอยู่ด้วยตนเอง จำเลยเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ซึ่งบรรทุกไม้นั้น ก็เป็นแต่ผู้รับจ้างบรรทุกไม้เท่านั้น จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการครอบครองไม้ของกลาง จึงถือว่าจำเลยร่วมกระทำผิดกับเจ้าของไม้ไม่ได้ การกระทำของจำเลย เป็นเพียงการให้ความช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่เจ้าของไม้ซึ่งกำลังกระทำความผิด อันเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดเท่านั้น
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 527/2532 ไม้ฟืนของกลางที่จำเลยรับจ้างบรรทุกรถยนต์นั้น ถูกเก็บกองอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ความผิดฐานเก็บหาไม้ฟืนซึ่งเป็นของป่ายังไม่ขาดตอน พฤติการณ์ที่จำเลยหลบหนีไปเพราะพบเห็นเจ้าหน้าที่  แสดงว่าจำเลยทราบดีว่าไม้ฟืนของกลางอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ การที่จำเลยรับจ้างบรรทุกไม้ฟืน อันเป็นของป่าซึ่งผู้กระทำผิดนำมากองไว้ เพื่อจะนำออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ จึงเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิดฐานเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาต  ดังนี้จำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าว
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 4035/2532 จำเลยนำรถยนต์บรรทุกของนายจ้างขนไม้หวงห้ามให้แก่นายจ้าง เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายจ้างของจำเลย ในการกระทำความผิดฐานมีไม้ยางแปรรูปของกลางไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 86

-          กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด   ความผิดเกี่ยวกับการพนัน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 394/2502 ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามบัญชี ข. โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นได้มี พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 12 บัญญัติความผิดไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่มีผิดฐานสมรู้สนับสนุนผู้กระทำผิดตาม มาตรา 86 อีก

-          จุดที่เกิดความรับผิดของผู้สนับสนุน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2800/2522 การสนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อาญา ม.86 นั้น จะต้องมีผู้อื่นเป็นตัวการในการกระทำผิด หากเป็นกรณีที่ไม่มีตัวการกระทำผิดในความผิดดังกล่าว ผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในความผิดนั้น ก็ย่อมไม่มีความผิดในฐานเป็นสนับสนุน
-          ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 37 ประจำปี พ.ศ. 2527 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 3 / ก. ต้องการฆ่า . แต่ไม่รู้ว่าจะไปจ้างมือปืนที่ไหน . จึงแนะนำ . ไปจ้าง . ซึ่งเป็นมือปืนไปฆ่า . . ไปจ้าง . ตามที่ . แนะนำถ้าหาก . ไปว่าจ้าง . แล้ว แต่ . เกิดไม่ยอมรับจ้างฆ่า . จะมีความผิดฐานใดหรือไม่ / กรณี . ไม่ยอมตกลงรับจ้างฆ่านั้น ค. ย่อมไม่มีความผิดอะไร . ก็ไม่มีความผิดเช่นกัน เพราะความผิดที่ตนสนับสนุนไม่ได้กระทำลง จึงถือไม่ได้ว่ามีการสนับสนุน จะถือว่า . พยายามสนับสนุนก็ไม่ได้ เพราะการพยายามสนับสนุนมีไม่ได้
-          ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 52 ประจำปี พ.ศ. 2542 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 2 / นายแดงตกลงตามที่นายม่วงว่าจ้าง เพราะอยากได้เงินค่าจ้างและตนได้ตกลงใจที่จะฆ่านายดำอยู่ก่อนแล้วไม่ว่านายม่วงจะมาว่าจ้างหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ นายม่วงได้ให้นายแดงยืมปืนไปใช้ฆ่านายดำด้วย เมื่อนายแดงพบนายดำจึงได้แอบเดินไปข้างหลังนายดำและชักปืนออกมาจากเอวเพื่อจะยิงนายดำ โดยที่ยังมิทันได้ยกปืนจ้องยิงไปทางนายดำ แต่นายแดงถูกพลเมืองดีเข้าขัดขวางเสียก่อน จึงไม่สามารถยิงนายดำได้ / ม้การที่นายม่วงจ้างให้นายแดงไปฆ่านายดำ และการให้ยืมปืนไปใช้ในการฆ่า จะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายแดง แต่นายม่วงก็ไม่เป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เพราะการกระทำของนายแดงยังไม่ถึงขั้นที่เป็นความผิด (คำพิพากษาฎีกาที่ 2800/2522)

-          ความรับผิดภายในเจตนาของผู้สนับสนุน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 280/2510 คนร้ายเข้าปล้นและยิงเจ้าทรัพย์ตาย พยานโจทก์ที่วิ่งไปสกัดคนร้าย เห็นจำเลยวิ่งมาในพวกคนร้าย 6 คน จำเลยจ้องปืนพูดว่า อย่าเข้ามา พยานจึงไม่กล้าไล่ตามไป พยานอีกคนหนึ่งเห็นจำเลยนั่งอยู่ชายป่า เมื่อเกิดเสียงปืนดังแล้ว คนร้ายวิ่งจากบ้านเกิดเหตุมายังที่ที่จำเลยนั่งอยู่ ส่งปืนให้จำเลยแล้ววิ่งเข้าป่าไป เช่นนี้ยังไม่พอฟังว่า จำเลยสนับสนุนในการที่คนร้ายอื่นเจตนาฆ่าเจ้าทรัพย์มาตั้งแต่ต้น และแม้ว่าการมีปืนไปปล้น น่าจะเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้เป็นธรรมดา แต่ก็ยังไม่พอที่จะฟังว่า จำเลยได้เล็งเห็นว่าคนร้ายอื่น จะถึงกับฆ่าเจ้าทรัพย์โดยเจตนาอีกด้วย จำเลยจึงมีความผิดตาม มาตรา 340 วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 86 ภายในขอบเขตของเจตนาในการสนับสนุนตามมาตรา 87 เท่านั้น

-          ประเด็นเปรียบเทียบ ผู้ใช้ กับผู้สนับสนุน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 382/2512 (สบฎ เน 2086) จำเลยที่ 3 วิ่งมาพูดยุยงให้ฆ่าผู้ตาย หลังจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายแล้ว เห็นได้ว่าจำเลยที่ 3 "มิได้เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 1 ทำผิด" เพราะลงมือแล้ว คำพูดยุยงเป็นเพียงสนับสนุนเร้าใจให้มุ่งทำร้ายถึงตายผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

-          การร่วมกระทำความผิดกับเจ้าพนักงาน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 774/2520 จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และนำชี้ให้จำเลยที่ 2 เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดพิสูจน์ น.ส. 3 ไปโดยจำเลยที่ 2 ได้บันทึกในคำขอรับรองการทำประโยชน์ว่า ลักษณะของที่ดินเป็นที่ดินเหนียวปนทราย เหมาะแก่การทำนา ปลูกข้าว  อันมิใช่ความจริง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการร่วมกระทำผิดตาม ป.อ. ม.157  กับจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 มิได้เป็นเจ้าพนักงานจึงมีความผิดฐานผู้สนับสนุน

-          กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
-          มาตรา 213 หากเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร อาจต้องต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ ตามเงื่อนไข ม 213
-          มาตรา 282 4 และ มาตรา 283 4 ผู้สนับสนุน โทษเท่าตัวการ
-          มาตรา 314 ผู้สนับสนุนในความผิด มาตรา 313 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกันตัวการ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 394/2502 ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามบัญชี ข. โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นได้มี พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 12 บัญญัติความผิดไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่มีผิดฐานสมรู้สนับสนุนผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 อีก

-          ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 86
-          (ขส เน 2512/ 3) สามีแกะ สร้อยของมารดาภรรยาไปจากคอของภรรยา ผิด ลักทรัพย์ ม 334 ไม่ได้รับยกเว้นโทษตาม ม 71 เพราะเป็นทรัพย์ของ มารดาภรรยา” / นายแกะเห็นเหตุการณ์ตลอด ขับรถพาสามีหนี นายแกะไม่ผิดฐานสนับสนุนให้ลักทรัพย์ ม 334+86 เพราะเป็นช่วยเหลือหลังจากความผิดลักทรัพย์สำเร็จแล้ว ไม่ใช่ช่วยเหลือก่อนหรือขณะทำผิด จึงไม่เป็นการสนับสนุน แต่นายแกะผิด ม 189 ฐานช่วยผู้กระทำผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ โดยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม และ ฐานรับของโจร ตาม ม 357 โดยการที่ได้ช่วยพาเอาทรัพย์ที่ลักนั้นไปเสีย
-          (ขส เน 2527/ 3) ก ต้องการฆ่า จ / ข จึงแนะนำ ก ให้ไปจ้าง ค ซึ่งเป็นมือปืน / ก จึงจ้าง ค ให้ยิง จ / ก ข ค ผิดฐานใด และหาก ก จ้าง ค แล้ว แต่ ค ไม่ฆ่า จ จะผิดฐานใด / กรณีแรก ค ยิง จ ตามที่รับจ้างฆ่า ผิด ม 289 (4) ฎ 1968/2521 / ก ผู้ใช้ รับโทษตาม ม 289 (4) เสมือนเป็นตัวการ โดยผลของ ม 84 ว 2 / ส่วน ข แนะนำ ก เป็นผู้สนับสนุน การใช้ให้ฆ่าถือเป็นผู้สนับสนุนการฆ่า ตาม ม 289 (4) , 86 / กรณีหลัง ค ไม่ตกลงฆ่า ค ย่อมไม่ผิด / ข ก็ย่อมไม่ผิด เพราะความผิดที่สนับสนุน ไม่ได้กระทำลง จึงถือไม่ได้ว่ามีการสนับสนุน และถือว่า พยายามสนับสนุนก็ไม่ได้ เพราะการพยายามสนับสนุน มีไม่ได้ / ก ผู้ใช้นั้น แม้ความผิดยังไม่ได้ทำลง ผู้ใช้ก็ต้องระวางโทษสองในสามส่วน ของความผิดที่ใช้ ตาม ม 84 ว 2

-          (ขส พ 2504/ 6) เด็กหญิงดำอายุไม่ครบ 13 ปีตกลงอยู่ร่วมฉันสามีภรรยากับนายขาว อายุ 19 ปี บิดามารดาของเด็กหญิงดำตามใจ เด็กหญิงดำจึงไปอยู่กินหลับนอนกับนายขาว (นายขาว เด็กหญิงดำ และบิดามารดาของเด็กหญิงดำ ผิดฐานใด) / นายขาวผิด ฐานชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปี แม้หญิงยินยอมก็เป็นความผิด ตาม ม 277 / เด็กหญิงดำไม่มีความผิด เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด และกำหนดโทษไว้ ตาม ปอ ม 2 (ประกอบกับ มาตรา 277 มุ่งคุ้มครองตัวเด็กหญิงเอง เด็กหญิงที่ยินยอมด้วยในการชำเรา จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน ในความผิดนี้ / บิดามารดา ของเด็กหญิง ไม่มีความผิด เพราะไม่เป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิดตาม ม 86 การกระทำเกิดขึ้น เนื่องจากความตกลงใจของเด็กหญิงเอง ที่ไปหานายขาว ไม่ใช่การกระทำของบิดามารดา
-          (ขส พ 2517/ 8) แดงดำ หลอกขาวว่าเป็นตำรวจขอค้นบ้าน และค้นได้แป้งสุรา คุมตัวไปมอบให้เขียว เขียวอ้างว่าเป็นเจ้าพนักงานสรรสามิต ทำบันทึกให้ขาวยอมรับ และแจ้งให้นำเงินค่าปรับมาชำระ ขาวบอกไม่มีเงิน แดงดำคุมตัวขาวไปหายืมเงิน ม่วงเป็นกำนัน แนะนำให้เสียค่าปรับ แล้วทุกคนแบ่งเงินกัน / แดง ดำ เขียว ผิด ม 145 และ ม 310 และ ม 337 ประกอบ ม 83 ส่วนม่วงผิด ม 86 , 337 และ ม 157 ฎ 1077/2505
-          (ขส พ 2522/ 6) คนใช้ไม่พอใจเจ้านาย แกล้งเปิดหน้าต่างให้ขโมยเข้าบ้าน ขโมยเห็นหน้าต่างเปิด จึงปีนเข้าบ้าน คนใช้ตื่นพอดี เกิดสงสารเจ้านาย จึงตะโกนว่ามีคนร้าย ขโมยหนีทันที ยังไม่ได้ทรัพย์ เจ้านายจับขโมยได้จึงต่อว่า ขโมยชกฟันหัก (เพราะโกรธ) / ขโมยผิด พยายามลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน โดยเข้าช่องทางที่มีผู้เป็นใจเปิดไว้ให้ ม 335 (1) (4) (8) , 80 ลงโทษสองในสามส่วน ฎ 854/2507 / ไม่ผิดพยายามชิงทรัพย์ ม 339, 80 เพราะไม่ได้ทำร้ายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม / คนใช้ผิดสนับสนุนลักทรัพย์ ม 335 , 80 , 86 แต่ไม่ผิดสนับสนุนทำร้ายร่างกาย เพราะนอกเหนือเจตนา ม 87 แต่การขัดขวางทำให้ไม่ได้ทรัพย์ไป ไม่ต้องรับโทษตาม ม 88
-          (ขส พ 2529/ 8) ดำฟันสีแล้ว แดงร้องบอกว่าฟันให้ตาย ดำจึงฟันสีอีก ถึงตาย แดงมิได้ก่อให้ดำทำผิด เพราะดำลงมือแล้ว แต่เป็นคำยุยง อันเป็นการสนับสนุนในการที่ดำกระทำผิด แดง ผิด ม 288+86 382/2512 / ดำทำชู้กับสา ต่อมา สีทุบตีสา สาเรียกให้ดำช่วย ดำรัดคอสีตาย สาก็มิได้ขัดขวางไว้ แสดงว่าสารู้เห็นเป็นใจกับสี ตามที่ตนร้องขอความช่วงเหลือ สากำชับบุตรห้ามบอกใคร และหลอกเพื่อนบ้านว่าผัวเมียตีกัน ทั้งที่ดำกำลังทำร้ายสี เห็นเจตนาได้ชัดว่าทำเพื่อให้ความสะดวกในการที่ดำทำร้ายสี ผิด ม 288+86 1113-4/2508
-          (ขส พ 2529/ 10) ยอมให้ใช้บ้าน ทดลองทำเหรียญปลอม ผิด ม 240+86 / รับฝากเครื่องมือผิด ม 246 ลงโทษ ม 240 + 86 กระทงเดียว ตาม ม 248 / รับฝากเหรียญปลอม ซึ่งไม่เหมือนจริง ไม่ใช่เจตนาเพื่อนำออกใช้ไม่ผิด ม 244 ฎ ป 1969/2505

-          (ขส อ 2520/ 6) กลมจ้างเบี้ยวไปฆ่าเหลี่ยม บิดาของกลม / เบี้ยวไม่รู้ไปถามเหลี่ยม เหลี่ยมชี้แบน จึงยิงแบนตาย / กลมผิด ม 289 (4) + 84 (สังเกต ม 289 (1)) / เบี้ยว ผิด ม 289 (4) + 61 / (เหลี่ยม ไม่ผิดสนับสนุน เพราะไม่มีเจตนาให้ความสะดวกหรือช่วยเหลือ / ไม่ผิดผู้ใช้ เพราะไม่ได้ก่อให้เบี้ยวตัดสินใจ / จึงไม่ต้องอ้างจำเป็น หรือป้องกัน) (ไม่เป็นป้องกัน เพราะไม่มีเจตนาพิเศษเพื่อป้องกันสิทธิ))
-           (ขส อ 2530/ 1) แต่งเป็นพระ หลอกว่าเป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ เพื่อเอาเงินบริจาค จากชาวบ้าน ผิด ม 208 คนร่วมหลอกเป็นตัวการ ม 208 ด้วย (ฎ 3699-3739/2541 (สบฎ สต 53) ไม่ใช่พระอุปัชฌาย์ แต่บวชให้คนอื่น และมอบเครื่องแต่งกาย ผิด ม 208+86 คนถูกบวช ไม่มีสิทธิ ผิด ม 208) / + ม 343 ว 1 + 83 + 343 ว 2 แสดงตนเป็นคนอื่น (ม 342 (1))
-          (ขส อ 2542/ 6) สินสมรส ชื่อของสามี คดีฟ้องหย่า ศาลพิพากษาให้แบ่งที่ดิน สามีขายไป ผิด ม 352 + 187 + 90 / คนแนะนำให้ขายและซื้อเอาไว้ ผิด ม 352 + 187 + 86 (น่าจะ ม 84 เพราะแนะนำแล้ว สามีขาย โดยไม่ปรากฏว่าสามีมีเจตนาตั้งแต่ต้น และเกลื่อนกลืนเป็นตัวการ ม 83 เพราะได้ร่วมมือในการที่สามีขายทรัพย์ ด้วยการรับซื้อเอาไว้เอง) + 357 + 90 / เมียน้อยรับเงินจากสามีโดยรู้ข้อเท็จจริงเรื่องการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์ ไม่ผิด ม 3571 เพราะเงินที่ได้ ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาโดยตรง




มาตรา 87                ในกรณีที่มีการกระทำความผิด เพราะมีผู้ใช้ให้กระทำตามมาตรา 84 เพราะมีผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดตามมาตรา 85 หรือโดยมีผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 ถ้าความผิดที่เกิดขึ้นนั้น ผู้กระทำได้กระทำไป เกินขอบเขตที่ใช้หรือที่โฆษณาหรือประกาศ หรือ เกินไปจากเจตนาของผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด แล้วแต่รณี ต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับความผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ใช้ หรือที่โฆษณาหรือประกาศ หรืออยู่ในขอบเขตแห่งเจตนาของผู้สนับสนุนการกระทำความผิดเท่านั้น แต่ถ้าโดยพฤติการณ์อาจเล็งเห็นได้ว่า อาจเกิดการกระทำความผิดเช่นที่เกิดขึ้นนั้นได้ จากการใช้ การโฆษณาหรือประกาศ หรือการสนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นนั้น
ในกรณีที่ผู้ถูกใช้ ผู้กระทำตามคำโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไป ให้กระทำความผิด หรือตัวการในความผิด จะต้องรับผิดทางอาญา มีกำหนดโทษสูงขึ้น เพราะอาศัยผลที่เกิดจากการกระทำความผิด ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่มีกำหนดโทษสูงขึ้นนั้นด้วย แต่ถ้าโดยลักษณะของความผิด ผู้กระทำจะต้องรับผิดทางอาญามีกำหนดโทษสูงขึ้น เฉพาะเมื่อผู้กระทำต้องรู้ หรืออาจเล็งเห็นได้ว่าจะเกิดผลเช่นนั้นขึ้น ผู้ใช้ให้กระทำความผิด ผู้โฆษณา หรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด จะต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่มีกำหนดโทษสูงขึ้น ก็เฉพาะเมื่อตนได้รู้ หรืออาจเล็งเห็นได้ว่าจะเกิดผลเช่นที่เกิดขึ้นนั้น

-          คำพิพากษาฎีกาที่ 280/2510 คนร้ายเข้าปล้นและยิงเจ้าทรัพย์ตาย พยานโจทก์ที่วิ่งไปสกัดคนร้าย เห็นจำเลยวิ่งมาในพวกคนร้าย 6 คน จำเลยจ้องปืนพูดว่า อย่าเข้ามา พยานจึงไม่กล้าไล่ตามไป พยานอีกคนหนึ่ง เห็นจำเลยนั่งอยู่ชายป่า เมื่อเกิดเสียงปืนดังแล้ว คนร้ายวิ่งจากบ้านเกิดเหตุมายังที่ที่จำเลยนั่งอยู่ ส่งปืนให้จำเลย แล้ววิ่งเข้าป่าไป เช่นนี้ยังไม่พอฟังว่า จำเลยสนับสนุนในการที่คนร้ายอื่นเจตนาฆ่าเจ้าทรัพย์มาตั้งแต่ต้น และแม้ว่าการมีปืนไปปล้น น่าจะเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้เป็นธรรมดา แต่ก็ยังไม่พอที่จะฟังว่า จำเลยได้เล็งเห็นว่าคนร้ายอื่น จะถึงกับฆ่าเจ้าทรัพย์โดยเจตนาอีกด้วย จำเลยจึงมีความผิดตาม มาตรา 340 วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 86 ภายในขอบเขตของเจตนาในการสนับสนุนตามมาตรา 87 เท่านั้น

-          ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 87
-          (ขส พ 2522/ 6) คนใช้ไม่พอใจเจ้านาย แกล้งเปิดหน้าต่างให้ขโมยเข้าบ้าน ขโมยเห็นหน้าต่างเปิด จึงปีนเข้าบ้าน คนใช้ตื่นพอดี เกิดสงสารเจ้านาย จึงตะโกนว่ามีคนร้าย ขโมยหนีทันที ยังไม่ได้ทรัพย์ เจ้านายจับขโมยได้จึงต่อว่า ขโมยชกฟันหัก (เพราะโกรธ) / ขโมยผิด พยายามลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน โดยเข้าช่องทางที่มีผู้เป็นใจเปิดไว้ให้ ม 335 (1) (4) (8) , 80 ลงโทษสองในสามส่วน ฎ 854/2507 / ไม่ผิดพยายามชิงทรัพย์ ม 339, 80 เพราะไม่ได้ทำร้ายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม / คนใช้ผิดสนับสนุนลักทรัพย์ ม 335 , 80 , 86 แต่ไม่ผิดสนับสนุนทำร้ายร่างกาย เพราะนอกเหนือเจตนา ม 87 แต่การขัดขวางทำให้ไม่ได้ทรัพย์ไป ไม่ต้องรับโทษตาม ม 88




มาตรา 88                ถ้าความผิดที่ได้ใช้ ที่ได้โฆษณา หรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำ หรือที่ได้สนับสนุนให้กระทำ ได้กระทำถึงขั้นลงมือกระทำความผิด แต่เนื่องจาก การเข้าขัดขวางของผู้ใช้ ผู้โฆษณาหรือประกาศ หรือผู้สนับสนุน ผู้กระทำได้กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้ใช้ หรือผู้โฆษณาหรือประกาศ คงรับผิดเพียงที่บัญญัติไว้ในมาตรา 84 วรรคสอง หรือมาตรา 85 วรรคแรก แล้วแต่กรณี ส่วนผู้สนับสนุนนั้นไม่ต้องรับโทษ

-          ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 88
-          (ขส เน 2512/ 2) สมศรีโกรธสามี จึงจ้างอุดมและเอนกไปฆ่าสามี / สมศักดิ์หาปืนและขับรถไปส่งอุดมและเอนกที่บ้านสามีสมศรี เมื่ออุดมและเอนกขึ้นไปบนบ้าน พบสามีสมศรีหลับอยู่ อุดมจึงยกปืนขึ้นจะยิง แต่กลัวต้องโทษ จึงไม่ยิง เอนกจึงยกปืนจะยิง แต่สมศรีเกิดความอาลัย จึงวิ่งไปปัดปืน กระสุนลั่นถูกฝาเรือน / สมศรีผู้ใช้ให้ฆ่าคน ผิด ม 289 (4) + 84 รับโทษเสมือนตัวการ แต่การปัดปืน ถือว่าความผิดที่ใช้ได้กระทำลงแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด เพราะผู้ใช้เข้าขัดขวาง ผู้ใช้มีความผิดตาม ม 289 ประกอบ ม 84 1 และ ม 88 รับโทษตาม ม 84 2 คือ 1 ใน 3 ของ ม 289 / อุดม ยกปืนแล้ว กลัวต้องโทษ จึงไม่ยิง ตาม ม 82 ไม่ต้องรับโทษ / เอนกยิงแล้ว ถูกปัดปืน ผิด ม 289 +80 / สมศักดิ์ผู้สนับสนุน โดยการหาปืนและขับรถให้ ผิด ม 289 + 86 รับโทษ 2 ใน 3

-          (ขส อ 2542/ 3) จ้างไปฆ่า ม 289 (4) + 84 คนจ้างปัดปืน ม 88 (ผู้ใช้รับโทษหนึ่งในสาม ของ ม 289 (4)) คนยิงคนแรก ผิด ม 289+80 แต่ยับยั้งเอง ม 82 (ลักษณะตัวการยังไม่ขาดตอนเลย ไปด้วยกัน) คนยิงคนที่สอง ถูกปัดปืน ม 289+80 กระสุนถูกทรัพย์ ไม่ผิด ม 358 ไม่มีเจตนา / ผู้สนับสนุน ม 289+86 รับโทษ 2/3

มาตรา 89                ถ้ามี เหตุส่วนตัว อันควรยกเว้นโทษ ลดโทษหรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดคนใด จะนำเหตุนั้นไปใช้แก่ผู้กระทำความผิดคนอื่นในการกระทำความผิดนั้นด้วยไม่ได้ แต่ถ้าเหตุอันควรยกเว้นโทษ ลดโทษหรือเพิ่มโทษ เป็น เหตุในลักษณะคดีจึงให้ใช้แก่ผู้กระทำความผิดในการกระทำความผิดนั้นด้วยกันทุกคน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น