มาตรา
84 ผู้ใด
“ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทำความผิด
ไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม
หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็น “ผู้ใช้” ให้กระทำความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น
ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ
ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด
ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
-
หลักเกณฑ์ (อ
เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 /2546
น 586)
-
ต้องมีการกระทำอันเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด
-
ต้องมีเจตนาก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด
-
ต้องมีผล
คือมีการกระทำผิดตามที่ผู้ใช้ได้ก่อให้กระทำผิด
-
ต้องมีการกระทำอันเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด
( อ เกียรติขจรฯ 8/587)
-
การก่อให้ผู้อื่นกระทำผิด หมายถึง
การกระทำอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นตกลงใจกระทำความผิด / หากผู้กระทำ
มีเจตนาอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่อาจจะมีการก่อให้กระทำผิดได้ แต่อาจเป็นการสนับสนุน
-
ต้องมีเจตนาก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด
( อ เกียรติขจรฯ 8/591)
-
เจตนาประสงค์ต่อผล ก่อให้กระทำผิด / จ้างให้ไปฆ่าคน
-
เจตนาย่อมเล็งเห็นผล ก่อให้กระทำผิด / ไล่แทงนาย
ข ในซอย ซึ่งเล็งเห็นได้ว่า นาย ข ต้องหนีเข้าบ้านนาย ค ถือว่าก่อให้นาย ข
บุกรุกบ้านนาย ค โดยเล็งเห็นผล
-
หากผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น
ต้องมีผลจากการก่อของผู้ใช้ คือมีการกระทำผิดโดยเจตนา ตามที่ผู้ใช้ได้ก่อให้กระทำผิด
(อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1
ครั้งที่ 8 /2546 น 593)
-
ผู้ถูกใช้ต้องมีการกระทำ (คิด
ตกลงใจ ลงมือ) และต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา (ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท
และกรณีไม่มีเจตนา
เนื่องจากไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด)
-
การกระทำของผู้ถูกใช้ (อ
เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 /2546
น / 596)
-
หากการกระทำของผู้ถูกใช้ ไม่เป็นความผิด
เพราะขาดองค์ประกอบภายนอก ไม่ถือว่าเป็นการใช้
-
ก ยุให้ ข ฆ่าตัวตาย ไม่เป็นผู้ใช้
-
หากการกระทำของผู้ถูกใช้ ไม่เป็นความผิด
เพราะมีกฎหมายยกเว้นความผิด ไม่ถือเป็นการใช้ แม้จะมีเจตนาก็ตาม
-
ก เห็น ข กำลังลอบยิง ค / ก
อยากให้ ข ตาย จึงรีบบอก ค / ค ยิงป้องกัน ข ตาย / ก
ไม่ผิด
-
หากผู้ถูกใช้ กระทำโดยมีเจตนาแล้ว
แต่มีกฎหมายยกเว้นโทษ ถือเป็นการใช้ แล้ว
-
หากผู้ถูกใช้
ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ลงมือกระทำผิดได้ ก็ไม่ใช่การใช้
-
อ เกียรติขจรฯ
ถือว่าผู้ที่ใช้ให้บุคคลซึ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะกระทำความผิด ไปกระทำความผิด
เป็นผู้กระทำผิดทางอ้อม
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2907/2526
จำเลยเป็นปลัดเทศบาล ใช้ให้ พ. แก้ไขสาระสำคัญของมติของสภาในรายงานการประชุมที่
ส.ทำขึ้น โดยจำเลยไม่มีอำนาจแก้ไขได้โดยพลการ ผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารตาม
ป.อ.ม.265 ประกอบด้วย ม.84
จำเลยกระทำผิดในขณะเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาเอกสารนั้น
จึงมีความผิดตาม ม.161 อีกบทหนึ่ง
-
ใช้ผู้ที่การกระทำ ไม่เป็นความผิด
เพราะขาดองค์ประกอบ (อ เกียรติขจร ฯ 8/121)
-
แดงจำนำแหวนไว้ ใช้ให้เหลืองไปทำลาย / เหลือง
เป็น IA ไม่ผิด ม 349 เพราะไม่ใช่แหวนที่เหลืองจำนำไว้กับผู้อื่น
แต่ผิด ม 86+349 ส่วนแดงเป็นผู้กระทำผิดทางอ้อม
-
บังคับหรือหลอกให้ผู้เสียหาย ทำต่อตัว
ผู้เสียหายเอง (อ เกียรติขจร ฯ 8/123)
-
ผู้ที่ขู่ หรือหลอก ให้ผู้อื่นดื่มยาพิษ
เป็นผู้กระทำผิดโดยทางอ้อม
-
ผู้ใช้
โดยก่อให้ผู้อื่นกระทำผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่
679–680/2471 (อ
พิพัฒน์ ฎีกาสำคัญ 152) สิบตำรวจ จำเลยที่ 1 พลตำรวจ
จำเลยที่ 2 และ 3 ไปจับผู้เล่นการพนัน แล้ววันรุ่งขึ้นกลับไปอีก เพื่อยึดของกลาง
นายแพ ไม่ยอมให้ยึดของกลาง เกิดต่อสู้กัน ผลที่สุดนายแพวิ่งหนี
จำเลยทั้งสามวิ่งตาม จำเลยที่ 2 สกัดหน้าไว้ นายแพ หันกลับมาทางจำเลยที่ 1 และ 3 จำเลยที่
1 ร้องว่า “พวกเรายิง จับเป็นไม่ได้
ให้จับตาย” แล้วจำเลยที่ 2 ยิงปืนไป 1 นัด
ในระยะใกล้ ถูกนายแพที่ทรวงอกสิ้นสติ พฤติการณ์ที่เกิดขึ้น
ไม่มีเหตุผลอันสมควรที่ต้องใช้ปืนยิง จำเลยที่ 2 กระทำลงไปโดยคำยุยงของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 และ 2 มีความผิดฐานพยายามฆ่า
ส่วนจำเลยที่ 3 ไม่มีความผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 363/2518
โจทก์เช่าบ้านของ ส.ต่อมาถูก ส.ฟ้องขับไล่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาขับไล่โจทก์
แต่โจทก์มิได้รับทราบคำบังคับของศาลที่ให้โจทก์ออกจากบ้านใน 1 เดือน โจทก์ฎีกา
ระหว่างฎีกาโจทก์ไปต่างจังหวัดใส่กุญแจบ้าน และฝากเพื่อนบ้านให้ดูแล จำเลยที่ 1
ซึ่งเป็นสามี ส.ให้จำเลยที่ 2 ตัดหูร้อยกุญแจบ้านออก และให้จำเลยที่ 2
เข้าไปอาศัยในบ้าน เมื่อโจทก์ยังไม่ทราบคำบังคับ โจทก์ก็ยังมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาท
ซึ่งโจทก์ยังครอบครองอยู่ จำเลยเป็นผู้ใช้ให้บุกรุกตามมาตรา 362,84 โจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุก
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3566/2528 จำเลยและ
อ.อยู่ในกลุ่มคนที่ส่งเสียงเอะอะโวยวาย จำเลยร้องสั่งให้ อ.ยิง
ไม่ได้ความว่าทั้งสองคนมีความประสงค์ฆ่าผู้เสียหาย การที่ อ.ถือปืนหมุนไปรอบ ๆ
ตัวในกลุ่มคน และยิงปืนขึ้นเป็นเหตุให้กระสุนไปถูกผู้เสียหาย อ.
ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำ จึงเป็นการกระทำโดยเจตนา
ส่วนจำเลยนั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด โดยการใช้ให้
อ.ใช้ปืนยิงผู้เสียหายโดยเจตนา แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเป็นแต่ยุยงส่งเสริมให้
อ.ยิง ดังนี้ เป็นเรื่องข้อแตกต่างในรายละเอียด
มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณา
แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ในข้อสาระสำคัญ จำเลยมีความผิด
ฐานเป็นผู้ใช้โดยยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำความผิด
ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตาม ป.อ. ม.288 ,80 ,84
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3611/2528 จำเลยได้ใช้ให้ ส.ฆ่า
ว.ผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยมอบอาวุธปืนของกลางให้ ส.นำไปหาโอกาสยิง ว. แม้
ส.ยังมิได้กระทำผิด เพราะไม่มีโอกาสฆ่า ว. การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตาม ป.อ.
ม.289 (4) ประกอบกับ ม.84 วรรคสอง
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1729/2532 จำเลยที่
1 ขายกัญชาให้กับผู้ล่อซื้อ ในขณะที่จำเลยที่ 2 มิได้อยู่ด้วย จำเลยที่ 2
จึงมิได้เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายกัญชา การที่จำเลยที่ 2
บอกที่ซ่อนกัญชา และสั่งให้จำเลยที่ 1 ช่วยขายแก่ผู้มาซื้อ ถือได้ว่า
เป็นการก่อให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดอันเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ตาม ป.อ. มาตรา
84
-
คำพิพากษาฎีกาที่
3196/2534 จำเลยรับมอบเอกสารของกลางและจ่ายเงินให้ผู้นำมาส่งมอบ
โดยจำเลยทราบดีว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ซึ่งแม้การที่จำเลยต้องจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนแก่ผู้นำมามอบ
จะทำให้น่าเชื่อว่า จำเลยมิได้มีส่วนร่วมในการปลอมเอกสารและรอยตราในเอกสาร
การกระทำของจำเลยเช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด
อันเป็นความผิดฐานเป็นผู้ใช้ ตาม ป.อ. มาตรา 84 / ข้อเท็จจริงฟังว่า
จำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 84 แต่ฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยในฐานตัวการร่วมกระทำผิดตาม
ป.อ.มาตรา 83 จึงแตกต่างจากที่ปรากฏในทางพิจารณาในสาระสำคัญ
ลงโทษจำเลยฐานผู้ใช้ไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง แต่การกระทำของจำเลย
ซึ่งยังถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิด
ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลย ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตาม ป.อ. มาตรา 86
ได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2057/2535
จำเลยตะโกนว่า พ่อมันมาแล้ว เอามันเลย แล้ว ส. ได้ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตาย
ดังนี้จำเลยต้องมีความผิดฐานยุยงส่งเสริมให้นาย ส. ฆ่าผู้ตาย ตาม ป.อ. มาตรา 84
ประกอบด้วย มาตรา 288 / โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำผิด
แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ แตกต่างจากฟ้อง
จึงลงโทษในความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำผิดไม่ได้
แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการสนับสนุนการกระทำผิดเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86 ด้วย
ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3044/2540 เหตุเกิดเพราะการที่จำเลยที่
1 พยักหน้าและร้องว่าเอามัน แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3
เข้าร่วมทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1
ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการยุยงส่งเสริม จึงเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตาม
ป.อ.มาตรา 84 มิใช่เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันตามมาตรา 83
ดังที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญอย่างมาก ย่อมลงโทษจำเลยที่ 1
ฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง
แต่การร้องบอกของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม
ป.อ. มาตรา 86 (จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมทำร้ายด้วย จึงไม่เกลื่อนกลืนเป็นตัวการ)
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 6677/2540 อ. ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1
ตัดฟันต้นไม้ในที่พิพาท เพราะเชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินที่ปลูกต้นไม้ดังกล่าว
เป็นของมารดาจำเลยที่ 2 ซึ่งอนุญาตให้ตัดฟันได้ การที่จำเลยที่ 2
ทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ร่วม แต่จำเลยที่ 2
กลับอนุญาตให้ตัดฟันต้นไม้รายนี้โดยอ้างว่าเป็นของมารดาจำเลยที่ 2
ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยวิธีอื่นใด
จึงเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 84 (ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 1
ไม่ปรากฏว่าชัดว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นหรือไม่ ) / (ขส พ 2546/7)
วางข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 รู้แล้วยังรับจ้างตัด โดยผู้ว่าจ้างไม่รู้
แม้ไม่ถือว่าจำเลยที่ 2 ก่อให้ผู้ว่าจ้าง กระทำผิด “ด้วยการใช้ จ้าง หรือวาน”
จึงไม่ใช่ผู้ใช้ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำผิด จึงถือว่าจำเลยที่ 2
ก่อให้จำเลยที่ 1 กระทำผิด “ด้วยวิธีอื่นใดแล้ว” )
-
ไม่มีลักษณะของการใช้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 5599/2530
จำเลยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ ด้วยข้อความอันมีมูลเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์
แล้วหนังสือพิมพ์นำข้อความนั้นไปลงพิมพ์โฆษณา ดังนี้เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ใช้
บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวานหรือยุยงส่งเสริมให้หนังสือพิมพ์ไปลงพิมพ์
การที่หนังสือพิมพ์นำข้อความนั้นไปลงพิมพ์ จึงเป็นเรื่องของหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะ
คดีโจทก์ไม่มีมูลความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตาม มาตรา 328 (ศาลไม่ปรับว่า
จำเลยก่อให้ผู้สื่อข่าว ลงข่าวหมิ่นประมาท โดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล)
-
จุดที่เกิดความรับผิดของผู้ใช้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 392/2496 จำเลยใช้ให้คนผู้หนึ่งไปเป็นผู้ว่าจ้างคนอื่น
ให้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ที่จำเลยโกรธเคืองให้ถึงแก่ความตาย ดังนี้
เมื่อผู้ที่รับใช้รู้สึกสำนึกตัวกลัวความผิด ไม่ไปจ้างคนตามที่จำเลยใช้ เช่นนี้
ถือได้ว่าจำเลยมิได้ใช้ให้ผู้นั้นกระทำความผิดด้วยตนเองโดยตรง
เป็นแต่ให้ผู้นั้นหาจ้างคนมากระทำความผิดอีกชั้นหนึ่ง
ซึ่งเท่ากับใช้ให้ผู้นั้นไปกระทำความผิดตามมาตรา 174 นั่นเอง
จึงอยู่ในขั้นเตรียมการ ยังห่างไกลต่อผลมาก จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา 174
วรรค 1
-
ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 24
ประจำปี พ.ศ. 2514 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 1 / นายสีใช้นายขำให้ไปจ้างนายจอนฆ่านายสงบ
นายขำตกลงรับใช้นายสี แต่ต่อมาได้เปลี่ยนใจไม่ไปจ้างนายจอนตามที่ตกลงไว้
/ การที่ผู้ใช้จะต้องรับโทษตามมาตรา 84 จะต้องมีการใช้ให้กระทำความผิดตามเจตนาของผู้ใช้เกิดขึ้นแล้ว
การที่นายสีใช้ให้นายขำไปจ้างนายจอนฆ่าผู้อื่น
ตราบใดที่นายขำยังไม่ได้ไปจ้างนายจอน
ก็ยังไม่มีการใช้ให้กระทำความผิดเกิดขึ้น
นายสีและนายขำจึงยังไม่ต้องรับโทษ
จะถือว่าการที่นายสีใช้นายขำให้ไปจ้างนายจอน เป็นการที่นายสีใช้ให้นายขำกระทำความผิดแล้วไม่ได้
เป็นเพียงการตระเตรียมการใช้ให้นายจอนกระทำความผิดเท่านั้น (คำพิพากษาฎีกาที่
392/2496)
-
หากผู้ถูกใช้
ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ลงมือกระทำผิดได้ ก็ไม่ใช่การใช้
-
อ เกียรติขจรฯ
ถือว่าผู้ที่ใช้ให้บุคคลซึ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะกระทำความผิด ไปกระทำความผิด
เป็นผู้กระทำผิดทางอ้อม
-
คำพิพากษาฎีกาที่
668/2482 เจ้าพนักงานกับราษฎร จดข้อความเท็จลงในเอกสาร ตามมาตรา 162 (แก้ไขตาม
ป อาญา) โดยราษฎรเป็นผู้จดข้อความ
ให้เจ้าพนักงานลงชื่อ เจ้าพนักงานผิดมาตรา 162 แต่ผู้เดียว แม้ไม่ได้จดข้อความนั้น
/ เพียงแต่ให้ผู้อื่นจดข้อความเท็จลงไป แล้วจำเลยลงลายมือชื่อของตนไว้ในหนังสือนั้น
ก็ต้องเป็นผิดตามมาตรา 230 ได้ อ้างฎีกาที่ 533-539/2481
, จำเลยจดข้อความเท็จลงในบันทึกแจ้งความรับสินบนนำจับ
ยื่นว่าจำเลยเองเป็นผู้นำจับฝิ่นได้ ขอรับค่าสินบน แล้วนำไปยื่นต่อเจ้าพนักงานดังนี้
ยังไม่มีผิดฐานปลอมหนังสือ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2907/2526
จำเลยเป็นปลัดเทศบาล และเป็นเลขานุการสภาเทศบาล แต่ไม่อยู่ ประธานสภาฯ
จึงแต่งตั้งให้ ส. ทำหน้าที่เลขานุการสภาแทน จำเลยใช้ให้ พ.
แก้ไขสาระสำคัญของมติของสภาในรายงานการประชุมที่ ส.ทำขึ้น
โดยจำเลยไม่มีอำนาจแก้ไขได้โดยพลการ
โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้
จึงมีความผิดฐานใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารตาม ป.อ.ม.265 ประกอบด้วย ม.84 จำเลยกระทำผิดในขณะเป็นเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาเอกสารนั้น
จึงมีความผิดตาม ม.161 อีกบทหนึ่ง
เมื่อจำเลยนำเอกสารนั้นไปอ้างในการขออนุมัติต่อผู้ว่าราชการจังหวัด
จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตาม ม. 268 อีกกระทงหนึ่ง
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2079/2536 จำเลยที่
2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่กรอกข้อความ และรับรองเอกสารแบบ บ.ป.2
ซึ่งเป็นใบรับคำขอมีบัตร หรือเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน
แต่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยกรอกข้อความและรับรองเอกสาร
เป็นหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อให้จำเลยที่ 1 ได้รับบัตรประจำตัวประชาชน และจำเลยที่
1 ก็ได้รับบัตรประจำตัวประชาชนไปแล้ว ความผิดตาม มาตรา 157, 162 (1)
เป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่
1 ซึ่งมิใช่เจ้าพนักงานเป็นผู้ใช้จ้างวานให้จำเลยที่ 2 กระทำผิดดังกล่าว
ย่อมไม่สามารถรับโทษเสมือนเป็นตัวการได้จำเลยที่ 1 คงเป็นได้แต่เพียงผู้สนับสนุนการกระทำผิดเท่านั้น
จึงต้องรับโทษเพียงเป็นผู้สนับสนุน
-
กรณีผู้กระทำ
ไม่มีเจตนากระทำผิด ถือว่าผู้หลอกให้กระทำผิด เป็นผู้ทำด้วยตนเอง
-
คำพิพากษาฎีกาที่
422/2475 ก ใช้ ข หามศพผู้ที่ถูกฆ่า ไปยังป่าช้า เพื่อปิดบังการตาย ข ไม่รู้ว่า ก
ใช้ให้กระทำเพื่อปิดบังการตาย ขาดเจตนาพิเศษ ตาม ม 199 (แก้ไขตาม
ป อาญา) ข ไม่มีความผิด แต่ ก มีความผิด
ดุจกระทำด้วยตนเอง (จำเลยฆ่าเขาตายโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุแล้วจำเลยใช้เขาหามศพไปไว้ที่ป่าช้า
มีผิดฐาน+ความตาย เพื่อว่าคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายลูกบ้านเอาศพไปไว้ที่ป่าช้าตามคำสั่งผู้ใหญ่บ้านไม่มีผิด
ชัณสูตรพลิกศพ พ.ศ.2457 ม.5 นายใสจำเลยเป็นผู้ใหญ่บ้านได้ฆ่าเขาตายโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุแล้วนายใสจำเลยได้สั่งให้จำเลยอื่น
ๆ ซึ่งเป็นลูกบ้านหามศพไปไว้ที่ป่าช้า จำเลยไม่ทราบว่านายใสเป็นผู้ฆ่าและเชื่อว่าคำสั่งนั้นชอบด้วยกฎหมาย
ศาลฎีกาตัดสินว่า นายใสมีผิดตาม ม.197-64 และพ.ร.บ.
ชัณสูตรพลิกศพ พ.ศ. 2457 ม. 5 ส่วนจำเลยอื่น ๆ
ยังไม่มีผิดให้ปล่อยตัวไป)
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1013/2504
จำเลยรู้ดีอยู่ก่อนแล้วว่า ที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย
จำเลยยังจ้างคนให้เข้าไปขุดดินในที่พิพาทของผู้เสียหายจนเกิดเป็นบ่อ
ทำให้ที่พิพาทเสียหาย เช่นนี้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำให้เสียหาย และฐานบุกรุกตาม
มาตรา 358, 362
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2060/2521
ผู้ที่จะต้องถูกจับตามหมายจับมอบตัวต่อศาลมีประกันไป เหตุที่จะจับหมดไปแล้ว
จำเลยเอาสำเนาหมายจับนั้นมาให้ตำรวจจับผู้นั้นอีก เป็นความผิดตาม ป.อ. ม.310, 84
(ตำรวจไม่รู้ว่าหมายจับระงับแล้ว เป็นการสำคัญผิดตาม ม 62
ว่ามีอำนาจจับได้ตามหมายจับ ไม่ผิด เป็น innocent agent ตาม แนว อ เกียรติขจรฯ
ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดทางอ้อม) (ขส เน 2525/
9) ดำฟ้องขาว ฐานหมิ่นประมาท ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้อง
ขาวไม่ไปศาลตามนัด ศาลออกหมายจับขาว ต่อมาขาวเข้ามอบตัวต่อศาล และประกันตัวไป
ดำทราบว่าขาวประกันตัวแล้ว แต่ต้องการให้ถูกจับ ได้รับความอับอาย
จึงนำสำเนาหมายจับไปแสดงต่อตำรวจ ขอให้จับขาว ตำรวจจึงจับขาวส่งสถานีตำรวจแล้ว
ต่อมาทราบว่าขาวได้ประกันตัวจากศาล ดำและตำรวจผิดฐานใด / ขาวได้รับประกันตัวแล้ว
เหตุจับตามหมายจับหมดไป ตำรวจไม่มีเหตุจับขาวโดยชอบด้วยกฎหมาย ดำทราบดีแล้ว
ยังจงใจใช้หมายจับ ให้ตำรวจจับขาวอีก ตำรวจต้องจับกุมตามหมายของศาล
ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในดุลยพินิจของตำรวจ ดำผิด ม 310 (ไม่ปรับ
ด้วยผู้ใช้ให้กระทำผิด ตาม ม 84 เพราะตำรวจ ไม่มีเจตนากระทำผิด)
(ดำผิด ม 137 ด้วย) ตำรวจจับโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตาม
ม 62 ว่าเป็นการจับตามหมายจับที่ยังบังคับได้ ตำรวจไม่ผิดตาม ม 310)
-
คำพิพากษาฎีกาที่
2961/2522 (สบฎ เน 5868) จำเลยลักใบยาโดยใช้ ร. และ ก.ขนไป
ร.ก.ไม่รู้ ไม่ได้ร่วมทำผิด จำเลยเป็นผู้ลักทรัพย์ ไม่ใช่ใช้ให้ ร.ก.ทำผิด คำของ
ร.ก.มีน้ำหนักให้รับฟังได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่
2030/2537 จำเลยใช้เด็กหญิง ป. ไปรับยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน โดยเด็กหญิง ป. ไม่ทราบข้อเท็จจริง
การที่เด็กหญิง ป. ครอบครองยาเสพติดให้โทษเฮโรอีน
ก็ถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองยาเสพติดให้โทษเฮโรอีนเอง
-
เปรียบเทียบ
ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและใช้เอกสารปลอม
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 466/2524
จำเลยปลอมเอกสารราชการและมอบให้ ส. ไปแล้ว ส. นำไปแสดงต่อเจ้าพนักงานตำรวจ
โดยจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จึงเป็นเรื่องที่ส. กระทำไปโดยลำพังตนเอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ก่อให้
ส. กระทำผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม ตาม ป.อ.ม.268 ประกอบด้วย ม.84
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1508/2538
จำเลยปลอมตั๋วเครื่องบิน แล้วมอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว หรือมอบให้แก่ผู้อื่น
จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้มีชื่อในตั๋วต้องนำตั๋วไปใช้ในการเดินทาง ผิดฐานเป็นตัวการใช้ตั๋วเครื่องบินปลอม
และถือว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงเจ้าของสายการบิน
-
ผู้เสียหาย
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3842/2530
ในการขายสินค้าระหว่างบริษัทโจทก์ ผู้ขายกับองค์การ ท. ผู้ซื้อ บริษัทโจทก์ได้ตกลงยินยอมให้กำหนดจำนวนเงินที่จะเป็นค่าตอบแทน
หรือค่านายหน้าให้แก่พนักงานขององค์การ ท. ที่ช่วยให้ขายสินค้าได้
เงินที่รับว่าจะให้นี้จึงเป็นเงินสินบน เมื่อการซื้อขายเสร็จบริบูรณ์จำเลยที่ 1
ซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาขายแทนบริษัทโจทก์ได้ทำหนังสือขออนุมัติจ่ายค่านายหน้า
บริษัทโจทก์ได้อนุมัติให้จ่ายค่านายหน้าได้
อันเป็นการแสดงถึงเจตนาของบริษัทโจทก์ที่จะให้จำเลยที่ 1
นำเงินไปมอบให้แก่ผู้ช่วยเหลือให้ได้ทำสัญญาซื้อขาย การกระทำของบริษัทโจทก์
ถือได้ว่าบริษัทโจทก์เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ไปกระทำความผิดตาม มาตรา 84
บริษัทโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องร้องได้
-
ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 84
-
(ขส เน 2513/
1) นายฉ่ำรับจ้างฆ่า พกอาวุธไปตามถนนหลวง เพื่อดักยิง
แต่เกิดสงสารไม่ยิง ผู้ใช้ผิด ม 84 + 289 (4) รับโทษหนึ่งในสาม
ตาม ม 84 ว 2 / นายฉ่ำ ยังไม่ลงมือ
ไม่เป็นการพยายามฆ่า ไม่ผิด ม 84+289 แต่ผิดพาอาวุธไปในทางสาธารณะ ม 371
-
(ขส พ 2501/
7) ผุดใช้ผาดไปฆ่าผิว โดยใช้ปืนยิง ผุดมอบปืนให้
-
(ก) ถ้าผาดสงสาร
แกล้งยิงไม่ถูก / ผาดไม่มีเจตนาฆ่า ไม่ผิด
แต่ผุดผิด ม 84 และ 288 (ดูประเด็น ม 289 (4)
การกระทำของผู้ถูกใช้ ไม่ถึงขั้นลงมือ เพราะไม่มีเจตนาฆ่า ขณะกระทำ
จึงไม่เป็นความผิด ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ผู้ใช้ให้ฆ่า
จึงรับผิดฐานใช้ให้ฆ่าผู้อื่น
โดยไม่ต้องรับผิดถึงขั้นใช้ให้ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน)
-
(ข) ผาดยิง
กระสุนพลาดไปถูกกระบือ / ผาดผิด ม 288 และ 80 ผุด ผิด ม 84
วรรคสอง กระสุนถูกกระบือ ไม่ผิด ม 358 เพราะไม่มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ (ไม่ถือเป็นการกระทำโดยพลาดตาม
ม 60 เพราะวัตถุที่มุ่งหมายกระทำเป็นคนละประเภท เมื่อเจตนาฆ่า
แต่เกิดผลคือความเสียหายแก่ทรัพย์ จึงถือว่าไม่มีเจตนาต่อทรัพย์)
-
(ค) ผาดไม่ยิง
แต่ใช้มีดแทง / ผาดผิด ม 288 ผุดผิดเช่นกัน
แม้ไม่ได้ยิงกันตามที่ใช้ ก็ยังเป็นการฆ่า ตามเจตนาที่ผุดจ้างให้ฆ่า (ความผิดอยู่ที่การใช้ให้ฆ่า
/ การใช้อาวุธผิดไปจากที่มอบหมาย
ก็ยังคงเป็นการฆ่าตามเจตนาที่ใช้ให้ทำ ความรับผิดฐานใช้ให้ฆ่า จึงไม่เปลี่ยนแปลง)
-
(ง) หากก่อนยิงกัน
ผุดไปห้ามไม่ให้ฆ่า / ผาดยังไม่ผิด ส่วนผุดผิด ม 84 (ดูประเด็น
ม 88 หากผู้ถูกใช้กระทำถึงขั้นลงมือกระทำผิด แต่ผู้ใช้เข้าขัดขวาง
ทำให้ผู้ถูกใช้กระทำไปไม่ตลอด ผู้ใช้รับผิดตาม ม 84 วรรคสองเท่านั้น / ในกรณีตามปัญหานี้
ผู้ถูกใช้ไม่ได้กระทำการถึงขั้นลงมือ จึงไม่ต้องนำ มาตรา 88 มาปรับ)
-
(ขส พ 2529/
8) ดำฟันสีแล้ว แดงร้องบอกว่าฟันให้ตาย ดำจึงฟันสีอีก ถึงตาย
แดงมิได้ก่อให้ดำทำผิด เพราะดำลงมือแล้ว แต่เป็นคำยุยง
อันเป็นการสนับสนุนในการที่ดำกระทำผิด แดง ผิด ม 288 + 86 ฎ
382/2512 / ดำทำชู้กับสา ต่อมา สีทุบตีสา
สาเรียกให้ดำช่วย ดำรัดคอสีตาย สาก็มิได้ขัดขวางไว้ แสดงว่าสารู้เห็นเป็นใจกับสี
ตามที่ตนร้องขอความช่วงเหลือ สากำชับบุตรห้ามบอกใคร
และหลอกเพื่อนบ้านว่าผัวเมียตีกัน ทั้งที่ดำกำลังทำร้ายสี
เห็นเจตนาได้ชัดว่าทำเพื่อให้ความสะดวกในการที่ดำทำร้ายสี ผิด ม 288+86
ฎ 1113-4/2508
-
(ขส อ 2531/
6) นำใบเสร็จไปคืน รพ ของราชการ ขอให้แก้ยอดเงินเพิ่ม
เมื่อเบิกได้แล้วจะนำมาแบ่ง / จนท รพ ผิด ม 264+266
+ 161 + 149 ยอมจะรับ / คนขอผิด
ม 144+ ผู้ใช้ ม 264+266+84 (คนขอ
ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ขาดคุณสมบัติอันเป็นองค์ประกอบภายนอก ไม่อาจเป็นผู้ใช้ได้
จึงไม่สามารถเป็นตัวการได้ จะต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ม 86)
+ นำไปเบิก ม 268+341
-
(ขส อ 2542/
3) จ้างไปฆ่า ม 289 (4) + 84 คนจ้างปัดปืน
ม 88 (ผู้ใช้รับ 1/3 ของ
ม 289 (4)) คนยิง 1 ม 289+80
แต่ยับยั้งเอง ม 82 (ลักษณะตัวการยังไม่ขาดตอนเลย
ไปด้วยกัน) คนยิง 2 ถูกปัดปืน ม 289+80
กระสุนถูกทรัพย์ ไม่ผิด ม 358 ไม่มีเจตนา / ผู้สนับสนุน
ม 289+86 รับโทษ 2/3
-
(ขส อ 2542/
6) สินสมรส ชื่อของสามี คดีฟ้องหย่า พิพากษาให้แบ่งที่ดิน
สามีขายไป ผิด ม 352 +187+90 / คนแนะนำให้ขายและซื้อเอาไว้
ผิด ม 352+187+86 (น่าจะ ม 84 และเกลื่อนกลืนเป็นตัวการ
ม 83) +357+90 / เมียน้อยรับเงินจากสามีโดยรู้
ไม่ผิด ม 357ว 1 ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาโดยตรง
มาตรา
85 ผู้ใด
“โฆษณาหรือประกาศ” แก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดนั้น
และความผิดนั้นมีกำหนดโทษไม่ต่ำกว่าหกเดือน ผู้นั้นต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
ถ้าได้มีการกระทำความผิด
เพราะเหตุที่ได้มีการโฆษณาหรือประกาศตามความในวรรคแรก
ผู้โฆษณาหรือประกาศต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ
-
คำพิพากษาฎีกาที่
688/2477 (อ พิพัฒน์ ฎีกาสำคัญ 155) พลตำรวจร้องบอกราษฎรในการจับผู้ร้ายว่า
“จับเป็นไม่ได้ ให้จับตาย” ราษฎรจึงเข้าทำร้ายผู้ตาย
ถึงแก่ความตาย เป็นการกล่าวแก่คนทั่วไปให้กระทำความผิด ตามมาตรา 85
มาตรา
86 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ
อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด
ก่อนหรือขณะกระทำความผิด
แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็น
“ผู้สนับสนุน” การกระทำความผิด
ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น
-
หลักเกณฑ์ ( อ
เกียรติขจรฯ 8/617)
-
ต้องมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น
-
ผู้สนับสนุน กระทำด้วยประการใด
อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวก
-
โดยเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก
-
ก่อน หรือขณะกระทำความผิด
-
ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะรู้
หรือไม่รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้น
-
ต้องมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ( อ
เกียรติขจรฯ 8/617)
-
หมายถึง
การกระทำถึงขั้นที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
-
การกระทำความผิดนั้น
ต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา ไม่ใช่กระทำโดยประมาท
-
คำพิพากษาฎีกาที่
2800/2522 (สบฎ เน 5870) การสนับสนุนการกระทำความผิดตาม
ป.อาญา ม.86 นั้น จะต้องมีผู้อื่นเป็นตัวการในการกระทำผิด
หากเป็นกรณีที่ไม่มีตัวการกระทำผิดในความผิดดังกล่าว ผู้ช่วยเหลือ
หรือให้ความสะดวกในความผิดนั้น ก็ย่อมไม่มีความผิดในฐานเป็นสนับสนุน
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 4547/2530 จำเลยที่
1 เป็นนายทะเบียนยานพาหนะจังหวัดจำเลยที่
2 เป็นผู้ช่วยเสมียนยานพาหนะจังหวัดเดียวกัน เมื่อจำเลยที่ 1
ซึ่งเป็นตัวการไม่ได้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161
จึงไม่อาจจะมีผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดได้ จำเลยที่ 2
จึงไม่มีความผิดฐานสนับสนุนความผิดดังกล่าว
-
คำพิพากษาฎีกาที่
217/2531 จำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารหนังสือขอเบิกเงิน และเอกสารประกอบ
ให้ตรงกับที่ได้รับอนุมัติและเป็นหลักฐานว่าได้ดำเนินการแล้ว
เพื่อขอเบิกเงินจากทางราชการมาจ่ายให้แก่ราษฎรผู้รับจ้าง
เมื่อปรากฏว่ายอดเงินที่ระบุในเอกสารทั้งสี่ฉบับ
ตรงกับยอดเงินที่จำเลยได้จ่ายให้แก่ราษฎรไปแล้ว จำนวนดินที่ไม่ตรงกันนั้น
ก็ขุดได้มากกว่าที่ระบุไว้ ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดทุจริต
แม้จำนวนดินและจำนวนเงินที่ระบุในเอกสารจะไม่ตรงกับความจริงไปบ้าง ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมกันทำเอกสารและรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นตามฟ้อง
จำเลยอื่นซึ่งโจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด จึงไม่ได้กระทำผิดเช่นกัน
เพราะเมื่อไม่มีการกระทำผิด จึงไม่อาจเกิดการกระทำที่เป็นการสนับสนุนให้กระทำผิดได้
เหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดี
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1337/2534
(จำเลยที่ 1 ขับรถลาก จำเลยที่ 2 ถือพวงมาลัยรถพ่วง จำเลยที่ 2
ฎีกาว่าหากต้องรับผิด ก็เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำโดยประมาท) ผู้สนับสนุนในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดนั้น
มีได้เฉพาะการสนับสนุนผู้ลงมือกระทำความผิดโดยเจตนาเท่านั้น
ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดโดยประมาท ไม่อาจมีได้ตามกฎหมาย
เพราะผู้สนับสนุน ต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลในการสนับสนุนด้วย
โดยสภาพจึงไม่อาจมีการช่วย เหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำผิดโดยประมาทได้
/ จำเลยทั้งสองร่วมกันควบคุมรถยนต์บรรทุกสองคันลากจูงกัน
โดยจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกลากจูงรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่ง
ซึ่งจำเลยที่ 2 ขับควบคุมถือพวงมาลัย
จำเลยทั้งสองมีหน้าที่ร่วมกันตามกฎหมาย ที่จะต้องร่วมกันจัดทำแผ่นป้ายแสดงข้อความ
ว่ารถกำลังลากจูง และต้องจัดให้มีและเปิดโคมไฟ
หรือจุดไฟแสงสาดส่องที่ป้ายดังกล่าว ฯลฯ เพื่อให้แสงสว่างเพียงพอสำหรับผู้ใช้ถนน หรือผู้ที่ขับรถยนต์ตามหลังมามองเห็นได้ว่ามีการลากจูง
จำเลยทั้งสองสามารถกระทำ และใช้ความระมัดระวังดังกล่าว
แต่ไม่ได้กระทำ เป็นการละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมาย
-
ผู้สนับสนุน กระทำด้วยประการใด
อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวก ( อ
เกียรติขจรฯ 8/619)
-
ไม่จำกัดวิธีการ
แม้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ความผิดเกิดขึ้น ก็ถือเป็นการสนับสนุน
-
ไม่จำต้องช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวก
แก่ผู้กระทำผิดโดยตรง อาจเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกกันเป็นทอด ๆ
-
อาจเป็นการสนับสนุน โดยใช้คำพูดก็ได้
-
การนิ่งเสีย ไม่ละเว้น หรือไม่ห้ามปราม
การกระทำผิด ไม่ถือเป็นการสนับสนุน เว้นแต่เป็นการงดเว้น คือ
มีหน้าที่ต้องป้องกันผล แต่ไม่กระทำการป้องกัน / ฎ 1123/2526
จำเลยที่ 2 ทราบเรื่องจำเลยที่ 1 จะฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 2 มาก่อน
จึงใช้ให้ ว. เข้าไปตลบมุ้งของผู้ตาย แล้วจำเลยที่ 1 เข้าไปตีผู้ตาย โดยจำเลยที่
2 ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะห้ามได้ แต่ไม่ห้าม กลับไปยืนฟังอยู่ข้างห้องนอน
ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการกระทำความผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
แต่เป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการฆ่าจำเลยที่ 2
จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
-
การใช้ให้กระทำผิดตาม มาตรา 84
และการร่วมกระทำความผิดตาม มาตรา 83 ก็ถือเป็นการสนับสนุนอย่างหนึ่ง หากคำฟ้องกล่าวอ้างฐานะของผู้กระทำผิด พลาดไป ถือว่า
ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบ ต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในคำฟ้องในสาระสำคัญ
ไม่อาจลงโทษผู้กระทำผิดตามฐานะของผู้นั้นได้
แต่ปรับบทลงโทษผู้นั้นในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิดได้
-
การสนับสนุนกระทำความผิด
ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับประโยชน์จากการกระทำของผู้สนับสนุนด้วย
-
ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 56
ประจำปี พ.ศ. 2546 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 2 / ส่วนที่นายน้อยนำอาวุธปืนของตนไปไว้ที่บ้านของนายใหญ่
แม้นายน้อยมีเจตนาช่วยเหลือ ในการที่นายใหญ่กระทำความผิด
แต่เมื่อนายใหญ่มิได้ใช้อาวุธปืนของนายน้อยยิงนายอ้วน นายใหญ่ไม่ได้ประโยชน์จากการช่วยเหลือของนายน้อย
นายน้อยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของนายใหญ่
-
โดยเจตนาช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก
( อ เกียรติขจรฯ 8/622)
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2301/2528 จำเลยทั้งสองกับผู้ตายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน
วันเกิดเหตุ บ. ชวนจำเลยทั้งสองไปเที่ยวโดยนั่งรถสามล้อไปด้วยกัน
เมื่อผ่านหน้าบ้านผู้ตายพบผู้ตาย บ. ผละลงจากรถไปยิงผู้ตายโดยกระทันหัน
เพราะมีเรื่องอาฆาตกันอยู่เดิม ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้รู้หรือร่วมคบคิดกับ
บ.มาก่อน แม้เมื่อ บ.ยิงผู้ตายแล้ว จะย้อนกลับมาขึ้นรถสามล้อดังกล่าว ให้จำเลยที่
1 ถีบไป และจำเลยที่ 2 จะเคยไปถามหาผู้ตายก่อนเกิดเหตุ
พฤติการณ์เพียงเท่านี้จะถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนในการฆ่าผู้ตายหาได้ไม่
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 5299/2533
การที่จะลงโทษบุคคลฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดใด จะต้องได้ความว่าบุคคลนั้น
มีเจตนาที่จะสนับสนุนการกระทำความผิดนั้น
โดยรู้ว่าตนได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด
ก่อนหรือขณะกระทำความผิด การขนย้ายน้ำตาลทรายออกนอกบริเวณโรงงาน
มิใช่เป็นการกระทำผิดเสมอไป จะเป็นความผิดต่อเมื่อการขนย้ายนั้นฝ่าฝืนระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
ระเบียบดังกล่าวนี้มีว่าอย่างไร ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริง
ถึงแม้จะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ก็หาใช่ข้อกฎหมายไม่
เมื่อโจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยทราบระเบียบของคณะกรรมการ
จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาช่วยหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด
จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3923/2542 ผู้เสียหาย
ส. และ ป. ประจักษ์พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า
จำหน้าคนร้ายได้และยืนยันว่าจำเลยทำหน้าที่เป็นคนขับรถจักรยานยนต์
แต่มิใช่คนร้ายที่ไล่ยิงผู้เสียหาย โดยขณะเกิดเหตุจำเลยยังคงนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมา
และขณะนั้นได้ดับเครื่องรถตลอดเวลาด้วย ทั้งผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อถูกยิง
1 นัดแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีคนร้ายไล่ตามมาทำร้ายอีก และไม่เห็นหน้าคนร้าย
และจำเลยร่วมกันหลบหนีไปทางใด ลักษณะเช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลย ไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะช่วยเหลือพากันหลบหนีได้ทันที
อีกทั้งผู้เสียหายกับจำเลยต่างไม่เคยรู้จักกันและไม่มีสาเหตุใด ๆ ต่อกันมาก่อน
เมื่อจำเลยถูกจับกุม ก็ได้แจ้งชื่อคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย
กับนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมคนร้าย จนสามารถยึดอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์มาเป็นของกลางอีกด้วย
รูปคดีทำให้มีความสงสัยตามสมควรว่า
จำเลยได้ช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดหรือไม่
ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
-
ผู้สนับสนุนรับผิด
ภายในขอบเขตแห่งเจตนาช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวก ตามมาตรา 89
-
คำพิพากษาฎีกาที่
1449/2532
เมื่อจำเลยยิงผู้ตายแล้ว ผู้เสียหายได้เข้าไปแย่งปืนจากจำเลยและกอดปล้ำกัน
ระหว่างกอดปล้ำกัน ก.วิ่งเข้ามาหาจำเลย จำเลยจึงส่งอาวุธปืนให้แก่
ก.โดยจำเลยมิได้พูด หรือแสดงกิริยาอาการใด ที่จะพึงให้เข้าใจได้ว่าจำเลยมีเจตนาให้
ก.ยิงผู้เสียหาย เมื่อ ก.ได้รับอาวุธปืนจากจำเลยแล้ว
ก็หาได้ยิงผู้เสียหายในทันทีไม่ แต่ได้ถอยหลังออกไปก่อน
เมื่อผู้เสียหายเข้าไปแย่งอาวุธปืนจาก ก.อีกจึงถูกยิง เช่นนี้
ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทราบ หรือคาดหมายได้ว่า ก.มีเจตนายิงผู้เสียหาย
ถือไม่ได้ว่าจำเลยช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ ก.ยิงผู้เสียหาย ตาม ป.อ. มาตรา
86
-
เปรียบเทียบ กรณีตัวการ / คำพิพากษาฎีกาที่ 353/2520
คนร้ายยิงผู้เสียหายในการปล้น โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน
คนร้ายอื่นมิได้มีเจตนาร่วมด้วย ไม่เป็นตัวการในฐานพยายามฆ่าคนร่วมกับผู้ยิง /
จำเลยที่ 4 ใช้ปืนขู่ปล้นทรัพย์ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรค 2
และเพิ่มโทษอีกตาม มาตรา 340 ตรี จำเลยอื่นที่ไม่ใช้ปืนมีความผิดตาม
มาตรา 340 วรรค 2 ไม่ผิด มาตรา 340 ตรี (การปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืน
โดยปกติคาดหมายได้ว่าหากเจ้าทรัพย์ขัดขืน ผู้ร่วมปล้นอาจยิงเจ้าทรัพย์ถึงตายได้
จึงน่าจะถือว่าไม่เกินเจตนาที่ร่วมกัน เว้นแต่ไม่รู้มาก่อนเลย
หรือตกลงกันไว้ชัดว่าจะไม่ยิงทำอันตรายเจ้าทรัพย์ / เทียบ ฎ 2207/2532 แม้จำเลยจะไม่ได้เป็นคนใช้อาวุธปืนยิง
ช.ด้วยตนเอง แต่พวกของจำเลย รวมทั้งจำเลยเอง
ก็มีอาวุธปืนติดตัวมาด้วยในการปล้นทรัพย์ “จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่า”
พวกของจำเลยอาจใช้อาวุธปืนยิงผู้ใดผู้หนึ่งในรถคันเกิดเหตุ
หากผู้นั้นขัดขืนเพื่อความสะดวกในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อพวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิง ช.แต่ ช.ไม่ถึงแก่ความตาย
จำเลยย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น เพื่อความสะดวกในการปล้นทรัพย์ด้วย)
-
ก่อน หรือขณะกระทำความผิด ( อ
เกียรติขจรฯ 8/623)
-
คำพิพากษาฎีกาที่
2154/2516 จำเลยที่
1 ที่ 2 ร่วมปรึกษาหารือกับจำเลยที่ 3 เพื่อจะไปลักกระบือ แล้ววางแผนให้จำเลยที่ 1
ที่ 2 และ ส.ไปซุ่มรอรับกระบือที่หัวทุ่ง จำเลยที่ 3 กับพวกไปต้อนกระบือของผู้เสียหายมาส่งให้จำเลยที่
1 ที่ 2 และ ส.สถานที่ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.รอรับกระบือกับสถานที่ที่จำเลยที่
3 และพวกไปต้อนกระบือนั้นอยู่ไกลกันมาก จำเลยที่ 1 ที่ 2
จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะร่วมมือกับจำเลยที่ 3 ขณะจำเลยที่ 3
กับพวกกระทำการลักกระบืออันจะถือว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นตัวการ
แต่พฤติการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2
ได้ส่งเสริมอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 3 กับพวกในการที่จะไปลักกระบือ จำเลยที่ 1
ที่ 2 จึงเป็นผู้สนับสนุนก่อนกระทำผิด (สังเกต หากเป็นตัวการ จะเป็นเหตุฉกรรจ์ตาม
ม 335 (7))
-
การช่วยเหลือ "หลัง" กระทำความผิด
ไม่เป็นการสนับสนุน
-
คำพิพากษาฎีกาที่
249/2500 คนร้ายลักโคจูงมาระหว่างทางพบจำเลย จำเลยช่วยคนร้าย ไล่ต้อนโคโดยรู้ว่าเป็นโคของผู้อื่นและเมื่อพวกเจ้าทรัพย์มาพบก็วิ่งหนีไปด้วยกัน
ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้สมคบหรือสมรู้กับคนร้ายใน การลักทรัพย์
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3869/2536
ในเมื่อขณะคนร้ายลักทรัพย์ จำเลยมิได้ร่วมกระทำผิดหรือ สนับสนุนการกระทำผิดด้วยแล้ว
ดังนี้ การที่จำเลยอยู่ที่บ้าน ล. ในขณะที่คนร้ายนำของที่ลักมาเก็บที่บ้าน
ล.นั้น เป็นเหตุการณ์ หลังจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์แล้ว จึงไม่อาจลงโทษจำเลยใน
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ได้ / ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความจากนายแล ยอดเกตุ พยานโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่พบของกลางว่า
ในคืนนั้นจำเลยมานอนอยู่ ที่บ้านนายแลยังได้พูดคุยกันเรื่องเลี้ยงโค ต่อมาก็ได้ยินเสียง
แว่ว ๆ ว่า นายณรงค์ศักดิ์ได้นำของมาลงไว้ที่บ้านให้จำเลยช่วย ยก นายแลไม่ได้ออกไปดูว่าเป็นของอะไร
จนเวลา 5 นาฬิกา นายแล ตื่นมาไม่พบจำเลยกับนายณรงค์ศักดิ์ เห็นแต่ของพวกพัดลมตั้งพื้น
กับเทปเพลงใส่อยู่ในลัง ต่อมาจำเลยก็พาเจ้าพนักงานตำรวจมายึดของ เหล่านั้นไป แสดงว่าในขณะคนร้ายลักทรัพย์จำเลยมิได้ร่วมกระทำผิด
หรือสนับสนุนการกระทำความผิดในขณะนั้น แม้หลังจากการกระทำผิด ฐานลักทรัพย์แล้ว นายณรงค์ศักดิ์จะนำของที่ลักมาเก็บที่บ้าน
นายแล ก็เป็นเหตุการณ์หลังจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์แล้ว ไม่อาจลงโทษในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังที่ศาลล่าง
ทั้งสองพิพากษา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น (อาจเป็นความผิดฐานรับของโจร ตามมาตรา 357
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83, 335(1)(3)(7)(8), 336 ทวิ, 357 ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
อาจเป็นเพราะไม่มีการนำสืบว่ารับไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิด
หรืออาจเป็นเพราะกฎหมายวิธีพิจารณาความ)
-
คำพิพากษาฎีกาที่
3971/2548 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้รถแบ๊กโฮขุดตักดินในที่สาธารณประโยชน์
อันเป็นการทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ที่หิน ที่กรวด
หรือที่ทรายในบริเวณที่รัฐมนตรีประกาศหวงห้ามในราชกิจจานุเบกษา ต่อมาจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นประธาน สภาตำบลได้จัดทำบันทึกการประชุมสภาตำบลอันเป็นเท็จว่า
ที่ประชุมเห็นชอบให้จำเลยที่ 1 และที่
2 ดำเนินการขุด ตักดินได้
การกระทำของจำเลยที่ 3 มิใช่เป็นการเตรียมทำเอกสารไว้
ก่อนมีการขุดตักดินในที่สาธารณประโยชน์หรือ นำไปใช้อ้างอิงในการขุดตักดินดังกล่าว อันจะเป็นการแสดงเจตนาในการมีส่วนร่วมเข้าไปขุดตักดินในที่ สาธารณประโยชน์ของจำเลยที่
1 และที่ 2 ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยที่ 3 ไม่เป็นตัวการร่วมกระทำความผิด
กับจำเลยที่ 1
และที่ 2 ตาม ป. ที่ดิน มาตรา 9 (2) ประกอบมาตรา 108 ทวิ
-
ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะรู้
หรือไม่รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้น ( อ
เกียรติขจรฯ 8/626)
-
คำพิพากษาฎีกาที่
1478/2510 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4
ร่วมกันทำร้ายผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 2 ,3 ไม่ได้ทำร้าย
และไม่ได้ร่วมรู้เห็นในการทำร้ายมาก่อน แต่ได้จ้องปืนมาทางพยานโจทก์
พูดห้ามไม่ให้คนอื่นเกี่ยวข้อง ในการที่จำเลยที่ 1 ,4
ทำร้ายผู้ตายจึงเป็นการช่วยเหลือ และให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1,4 แม้จำเลยที่ 1 ,4
จะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม จำเลยที่ 2,3
ก็เป็นผู้สนับสนุน แต่ไม่ใช่ตัวการ
-
ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 23
ประจำปี พ.ศ. 2513 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 2 / นางพนอแง้มหน้าต่างเพื่อให้คนเข้ามาลักทรัพย์
นายโทนดึงบานหน้าต่างเปิดออกเพื่อลักทรัพย์แล้ว
แม้นายโทนจะไม่รู้ถึงการให้ความสะดวกของนางพนอก็ตาม
การกระทำของนางพนอ
ก็เป็นการสนับสนุนการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 86
-
ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 56
ประจำปี พ.ศ. 2546 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 2 / การที่นายเล็กแอบนำอาวุธปืนไปไว้ที่บ้านนายใหญ่
โดยประสงค์ให้นายใหญ่ใช้ยิงนายอ้วนและนายใหญ่ได้ใช้อาวุธปืนของนายเล็กยิงนายอ้วน
เป็นการช่วยเหลือในการที่นายใหญ่กระทำความผิด แม้นายใหญ่จะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือนั้นก็ตาม
นายเล็กย่อมเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 81 และมาตรา 86
-
การสนับสนุนในลักษณะที่เกี่ยวพันกับผู้ใช้
หรือผู้สนับสนุนด้วยกันเอง
-
การใช้ผู้สนับสนุน /
ขาว (ผู้ใช้ผู้สนับสนุน) จ้างให้เหลือง
(ผู้สนับสนุน) เอาปืนไปให้แดง
(ผู้ลงมือทำผิด) ใช้ฆ่าดำ
ถือว่าขาวเป็นผู้สนับสนุนแดงอีกคนหนึ่ง (มาตรา 86)
-
การสนับสนุนผู้ใช้ / แดง
(ผู้ใช้) ต้องการจ้างเหลือง (ผู้ลงมือทำผิด) ไปฆ่าดำ
ปรากฏว่าขาว (ผู้สนับสนุนผู้ใช้) รู้เหตุการณ์ดังกล่าว
บอกที่อยู่ของเหลือให้แก่แดง ถือว่าขาวเป็นผู้สนับสนุนผู้ใช้
คือสนับสนุนผู้กระทำผิดอีกคนหนึ่งนั่นเอง (มาตรา 86)
-
ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 37
ประจำปี พ.ศ. 2527 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 3 / ก. ต้องการฆ่า
จ. แต่ไม่รู้ว่าจะไปจ้างมือปืนที่ไหน
ข. จึงแนะนำ ก. ไปจ้าง
ค. ซึ่งเป็นมือปืนไปฆ่า
จ. ก. ไปจ้าง
ค. ตามที่ ข. แนะนำ
ค. ไปยิง จ. ตาย /
ข. ซึ่งช่วยแนะนำ
ก. ให้ไปจ้าง ค. ทำการฆ่านั้น
เป็นผู้สนับสนุนการใช้ให้ฆ่า ต้องถือว่า
ข. เป็นผู้สนับสนุนการฆ่าตามมาตรา
289 (4) , 86 นั่นเอง
-
การสนับสนุนผู้สนับสนุน /
แดง (ผู้กระทำผิด) ต้องการฆ่าดำ
เหลือง (ผู้สนับสนุน) รู้เหตุการณ์ดังกล่าว
ต้องการเอาปืนให้แดง เขียว (ผู้สนับสนุนผู้สนับสนุน) รู้เหตุการณ์ดังกล่าว
จึงบอกที่อยู่ของแดงให้แก่เหลือง ถือว่าเขียวเป็นผู้สนับสนุนผู้สนับสนุน
คือเป็นผู้สนับสนุนโดยทางอ้อม (มาตรา 86)
-
กรณีที่ไม่จำต้องปรับความรับผิดตาม
ป.อาญา มาตรา
86
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 394/2502
ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามบัญชี ข. โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นได้มี พ.ร.บ.การพนัน
พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 12 บัญญัติความผิดไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่มีผิดฐานสมรู้สนับสนุนผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 86 อีก
-
กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
-
คำพิพากษาฎีกาที่
3194/2536
จำเลยที่ 2 ที่ 3
เป็นข้าราชการครูได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ในการสอบแข่งขัน
ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานในการสอบครั้งนี้
หาใช่เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เฉพาะในช่วงการสอบสัมภาษณ์ เท่านั้นไม่
เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3
มีเจตนาทุจริตร่วมกันนำข้อสอบซึ่งเป็นความลับของทางราชการไปเปิดเผยให้ บ.
กับพวกรู้ก่อนเข้าสอบ จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำโดยมิชอบด้วยหน้าที่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับในราชการ
และจำเลยที่ 4 ที่ 5 ซึ่งเป็นข้าราชการครู ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิด
แต่มิได้เป็นกรรมการสอบ ผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 , 3
-
กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดเกี่ยวกับเพศ
-
คำพิพากษาฎีกาที่
1489/2543
จำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันพาผู้เสียหายไปที่บ้านเกิดเหตุ เพื่อกระทำชำเรา
จำเลยที่ 3 กระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอม
จึงไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา แต่เมื่อจำเลยที่ 3
ออกไปจากห้องแล้วปล่อยให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และพวกอีก 2 คน
ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายในห้องทีละคนโดยจำเลยที่ 3
มิได้ขัดขวาง หรือห้ามปรามแต่อย่างใด
ถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และพวกอีก 2 คน
ก่อนหรือขณะกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราในลักษณะเป็นการโทรมหญิงจำเลยที่ 3
จึงมีความผิดเป็นผู้สนับสนุนตาม ป.อ. มาตรา 86
-
กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 888/2518
ทำหนังสือค้ำประกันหนี้ ที่ปลอมสัญญากู้ขึ้น
แต่ทำภายหลังที่ได้ทำสัญญากู้ปลอมเสร็จขาดตอนแล้ว ไม่เป็นความผิดฐานสนับสนุนปลอมเอกสาร
-
กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย
-
คำพิพากษาฎีกาที่
2413/2526
จำเลยที่ 2 ถือมีดปอกผลไม้และท้าทายให้ออกมาสู้กัน เมื่อผู้ตายถือไม้ออกมาจะต่อสู้กับจำเลยที่
2 จำเลยที่ 2 ได้ทิ้งมีดและหยิบไม้ตีผู้ตาย1 ครั้ง แล้วไม้ที่ถือก็ร่วงไป
และเกิดกอดปล้ำกันขึ้น ผู้ตายจิกผมจำเลยที่ 2 กดต่ำลง จำเลยที่ 2
จึงใช้มีดแทงผู้ตายไปในขณะนั้นไม่มีโอกาสเลือกแทงได้ถนัด
บังเอิญไปถูกอวัยวะสำคัญไต้ราวนมซ้าย
ลึกทะลุกล้ามเนื้อหัวใจผู้ตายจึงถึงแก่ความตาย ดังนี้ ยังไม่พอฟังว่ามีเจตนาฆ่าผู้ตาย
คงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเท่านั้น / เมื่อมีผู้ห้ามมิให้จำเลยที่ 2
กับผู้ตายทะเลาะกันจำเลยที่ 1พูดให้จำเลยที่ 2 กับผู้ตายทะเลาะและต่อสู้กัน
เมื่อจำเลยที่ 2 ถือมีดออกมาจากบ้าน จำเลยที่ 1 ก็เดินตามหลังมาติด ๆ
เป็นการสมทบกำลัง และให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 2 จะต่อสู้กับผู้ตาย
เมื่อผู้ตายถือไม้ออกมาและจำเลยที่ 2ทิ้งมีด จำเลยที่ 1 ก็บอกให้จำเลยที่ 2
เก็บมีดไว้กับตัว เป็นการช่วยเหลือแนะนำถึงวิธีต่อสู้ก่อนที่จะเข้าต่อสู้กัน
ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3116/2527
ล.นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยลงมา พูดทำนองบังคับผู้ตายให้กลับรถของจำเลย
ใช้ปืนจี้ท้ายทอยและลั่นไก แต่กระสุนไม่ลั่น จึงใช้ปืนตีศีรษะ
แล้วร้องบอกให้จำเลยติดเครื่องรถรอ จำเลยก็ติดเครื่องรถรอจน ล.มาถึงรถจำเลย
แล้วยิงไปที่ผู้ตาย 1 นัด เมื่อขึ้นคร่อมท้ายรถแล้ว ล.ยิงไปอีกหลายนัด
ขณะเดียวกันจำเลยก็ขับรถพาหลับหนีไป
การติดเครื่องรถรออยู่เป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ ล.ยิงผู้ตาย
เป็นการให้กำลังใจว่า เมื่อยิงแล้วมีโอกาสซ้อนรถจำเลยหลบหนีไปได้ทันท่วงที
และปลอดภัย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการสนับสนุนการกระทำผิดของ ล. ตาม ป.อ.ม.86
-
คำพิพากษาฎีกาที่
545/2528
ผู้ประสงค์จะฆ่าผู้ตายติดต่อกับจำเลยที่ 3 ให้หาคนมายิงผู้ตายและจำเลยที่ 3
เป็นผู้ติดต่อพาจำเลยที่ 1 ที่ 2 มาพบผู้ว่าจ้างและได้รับมอบปืน 2
กระบอกจากผู้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 วันเกิดเหตุ
ผู้ว่าจ้างพาจำเลยทั้งสามมาดูตัวผู้ตาย ขณะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยิงผู้ตายจำเลยที่ 3
ยืนอยู่คนละฝั่งถนนมีมีดปลายแหลมติดตัว หากจำเลยอื่นยิงพลาด จำเลยที่ 3
ก็คงจะไม่เข้าช่วยเหลือโดยซ้ำเติมหรือทำอันตรายแก่ผู้ตายอีก เพราะไม่มีอาวุธปืน
การที่จำเลยที่ 3 อยู่ในที่เกิดเหตุ ก็เพียงคอยวิ่งนำหน้าพาจำเลยที่ 1 ที่ 2
หลบหนีไปในเส้นทางที่ตนชำนาญเท่านั้น เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่
1 ที่ 2 ในการฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ 3 เป็นเพียงผู้สนับสนุนมีความผิดตาม ป.อ. ม.289
(4) ประกอบด้วย ม.86
-
คำพิพากษาฎีกาที่
3828/2528 ท.สามีจำเลยทะเลาะกับพี่สะใภ้
แล้วชักปืนสั้นยิงพี่สะใภ้ถึงแก่ความตาย พ.เข้าไปช่วยภรรยา ท.ยิง พ.ถูกโคนขา
จำเลยยืนอุ้มบุตรอยู่เฉย ๆ เมื่อ พ.เข้าปล้ำแย่งปืนจาก ท.แล้ว
ท.ร้องบอกให้จำเลยไปเอาปืนลูกซองยาวบนบ้าน จำเลยจึงวิ่งขึ้นบนบ้านหยิบปืนมาให้
ท.ซึ่งอาจเป็นเพราะกลัวว่า พ. แย่งปืนได้แล้วจะยิ่ง ท. ดังนี้จำเลยเพียงช่วยเหลือ
หรือให้ความสะดวกในการที่ ท.จะยิง พ.
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการสนับสนุนการกระทำผิดของ ท. ตาม ป.อ. ม.86
-
คำพิพากษาฎีกาที่
599/2529
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันฆ่าผู้อื่น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายท้าทาย
ณ กับพวกขึ้นไปต่อสู้กันบนฝั่งแม่น้ำ ณ พวกของจำเลยถือปืนยาวขึ้นไปบนฝั่ง
แต่ปรากฏว่าไม่มีกระสุนปืน ณ. ตะโกนให้จำเลยหยิบกระสุนปืนไปให้ ซึ่งจำเลยก็ทำตาม ต่อมา
ณ.ทะเลาะกับผู้ตายและใช้ปืนนั้น ยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือ
หรือให้ความสะดวกแก่ ณ. ในการกระทำผิด
จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดตาม ป.อ.288,86
-
คำพิพากษาฎีกาที่
1451/2531
จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มาดักยิง ศ. เมื่อ ส. ขับรถปิคอัพมาถึงที่เกิดเหตุ
จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าเป็น ศ. เพราะไม่รู้จักมาก่อนจึงจ้องปืนเล็งไปยัง
ส.โดยมีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรอง แต่ ส.โบกมือให้ทราบว่าตนมิใช่ ศ.จำเลยที่ 1
จึงไม่ได้ยิง ดังนี้ เป็นการลงมือกระทำความผิดแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด จำเลยที่ 1
จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (4), 80 / จำเลยที่ 2
ให้รถจักรยานยนต์และปืนแก่จำเลยที่ 1 ไปใช้ยิง ศ. ดังนี้จำเลยที่ 2
มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1
ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
-
คำพิพากษาฎีกาที่
4444/2531 ส.
ชกหน้าผู้เสียหาย 1 ที ผู้เสียหายล้มลงแล้วลุกขึ้นยืนในระหว่างนั้น
จำเลยส่งปืนสั้นให้แก่ ส. ส.ใช้ปืนกระบอกนั้นยิ่งผู้เสียหาย 1 นัด
กระสุนปืนถูกที่แขนขวาเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย แม้จำเลยจะอยู่ด้วยในที่เกิดเหตุก็ตาม
แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ร้องบอกหรือสั่งให้ ส. ยิงผู้เสียหาย
หรือมีส่วนเกี่ยวข้องร่วมมือกับการกระทำของ ส.แต่อย่างใด การที่
ส.จะยิงผู้เสียหายหรือไม่ อยู่ที่การตัดสินใจของ ส.เอง
การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่
ส.ในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่
4947/2531 การที่จำเลยเพียงแต่ร้องบอกว่า
"เอามันให้ตายเลย" แล้วพวกของจำเลยได้ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายนั้น
เป็นการที่จำเลยก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ตามมาตรา 84
แต่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน
จะลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดไม่ได้ แต่การที่จำเลยร้องบอกดังกล่าว
ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม มาตรา 86
ศาลมีอำนาจลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ / ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บฟกช้ำที่ใบหน้าด้านซ้าย
เพียงแห่งเดียวแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาประมาณ 7 วัน
ยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามมาตรา 295
ผู้กระทำความผิดคงมีความผิดตาม มาตรา 391 จำเลยเป็นผู้สนับสนุนความผิดดังกล่าวอันเป็นความผิดลหุโทษ
จึงไม่ต้องรับโทษตาม มาตรา 106
-
คำพิพากษาฎีกาที่
5121/2531
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ และวางแผนให้จำเลยที่ 1 กับพวกกระทำความผิด
ได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ลงโทษจำเลยที่ 2
ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ / วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกอีก 1 คน
มานอนที่บ้านมารดาผู้ตายก่อน จำเลยที่ 1 บีบคอผู้ตาย จำเลยที่ 2
ได้เรียกมารดาผู้ตายออกมาจากห้องนอน พาลงจากบ้าน และใช้ผ้าขาวม้ามัดมือไพล่หลัง
ใช้มีดปลายแหลมขู่ มิให้มารดาผู้ตายขัดขวางการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ดังนี้
จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1
-
กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1134/2512
จำเลยทั้งสองกับพวกได้มาที่บ้านผู้เสียหายด้วยกัน แต่จำเลยที่ 1
หยุดอยู่ตรงบ้านผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 2 กับพวกหาได้หยุดไม่
คงเดินเลยบ้านผู้เสียหายไป 10 วาจึงหยุด เมื่อเป็นดังนี้ การที่จำเลย ที่ 1
ยิงผู้เสียหายโดยลำพังตนเอง จึงไม่แน่ว่าจำเลยที่ 2
จะได้ร่วมกันเพื่อมาทำร้ายผู้เสียหาย เพราะอาจฟังว่า จำเลยที่ 1
มาพบผู้เสียหาย และด้วยเคยมีเรื่องกันมาก่อน ส่วนการที่จำเลยที่ 2
ได้ร้องบอกให้จำเลยที่ 1 ยิงซ้ำจำเลยที่ 1 ก็หาได้กระทำตามที่จำเลยที่ 2
ร้องบอกไม่ กลับวิ่งไป แล้วจำเลยทั้งสอง
กับพวกก็พากันหนีไป การกระทำของจำเลยที่ 2 ก็ยังไม่พอฟังว่าเป็นผู้สนับสนุน
ตาม มาตรา 86
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1449/2532 เมื่อจำเลยยิงผู้ตายแล้ว
ผู้เสียหายได้เข้าไปแย่งปืนจากจำเลยและกอดปล้ำกัน ระหว่างกอดปล้ำกัน
ก.วิ่งเข้ามาหาจำเลย จำเลยจึงส่งอาวุธปืนให้แก่ ก.โดยจำเลยมิได้พูด
หรือแสดงกิริยาอาการใด ที่จะพึงให้เข้าใจได้ว่าจำเลยมีเจตนาให้ ก.ยิงผู้เสียหาย
เมื่อ ก.ได้รับอาวุธปืนจากจำเลยแล้ว
ก็หาได้ยิงผู้เสียหายในทันทีไม่แต่ได้ถอยหลังออกไปก่อน
เมื่อผู้เสียหายเข้าไปแย่งอาวุธปืนจาก ก.อีกจึงถูกยิง เช่นนี้ ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทราบหรือคาดหมายได้ว่า
ก.มีเจตนายิงผู้เสียหาย ถือไม่ได้ว่าจำเลยช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่
ก.ยิงผู้เสียหาย ตาม ป.อ.มาตรา 86
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3205/2536 จำเลยที่ 2 ที่ 3
ร่วมกันเข้าไปยิงผู้ตายซึ่งนอนรักษาตัว อยู่ในโรงพยาบาลถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1
รู้แผนการ จอดรถรออยู่นอกโรงพยาบาล เพื่อรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 หลบหนี
อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก่อนกระทำผิด
จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
เพราะจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตระเตรียมอาวุธปืนมายิงผู้ตาย โดยวางแผนมาล่างหน้า จำเลยที่
1 จอดรถรอรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 250 เมตร
ไม่สามารถเห็นเหตุการณ์ หรือให้ความช่วยเหลือจำเลยที่ 2 ที่ 3
ในขณะกระทำการยิงผู้ตายได้เพราะอยู่ห่างไกลและมีตึกบัง ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1
แบ่งหน้าที่ในการฆ่าผู้ตายมาทำส่วนหนึ่ง จึงไม่เป็นการร่วมในการกระทำผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 6103/2541
ขณะผู้ตายถูกทำร้ายผู้ตายอยู่ลำพังคนเดียว มีเพียงเหล็กแบนท่อนหนึ่งเป็นอาวุธ
จำเลยที่ 1 ใช้ไม้หน้าสามตีแขนผู้ตายจนล้มไป และ ส. ใช้เหล็กท่อนตีท้ายทอยผู้ตาย
ส่วนจำเลยที่ 2 ถือเหล็กแบนอยู่ในมือยืนอยู่ใกล้ ๆ แม้จำเลยที่ 2
จะรวมอยู่ในกลุ่มของ ส. และการทำร้ายผู้ตาย
มีสาเหตุสืบเนื่องมาจากผู้ตายวิวาทกับพวกจำเลยที่ 2 แต่ก็เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า
และเมื่อผู้ตายถูก ส. ทำร้าย
ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกอีก จึงไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2
มีส่วนให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกต่อจำเลยที่ 1 และ ส.ก่อนหรือขณะกระทำผิด
จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่ผู้สนับสนุน ส. ฆ่าผู้ตาย
-
กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดข้อหาทำให้แท้ง
-
คำพิพากษาฎีกาที่
6443/2545 คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้หญิงคนหนึ่งไม่ทราบชื่อทำให้นางสาว
ป. ผู้เสียหายแท้งลูกโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม
ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม ป.อ. มาตรา 83 , 84 , 303 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายไปหาจำเลยที่ 1
ที่บ้านและถูกจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเรา หลังจากนั้นเมื่อผู้เสียหายไปตรวจร่างกายที่สถานีอนามัยจึงทราบว่าผู้เสียหายตั้งครรภ์ ต่อมาจำเลยทั้งสามมาหาผู้เสียหายที่บ้านโดยจำเลยที่
1 เป็นผู้ขับรถ จำเลยที่ 2 เป็นมารดาจำเลยที่ 1 แล้วพาผู้เสียหายไปหาผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อทำแท้ง ระหว่างทางจำเลยที่ 3
ลงจากรถไปก่อน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 พาผู้เสียหายเข้าไปทำแท้งในบ้านหลังหนึ่งโดยผู้เสียหายยินยอมให้ทำแท้งลูก ระหว่างการทำแท้งจำเลยที่ 1
นั่งขวางประตูบ้านอยู่ด้วย พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทำความผิดในการที่ผู้อื่นทำแท้งผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 และที่ 2
จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ตามมาตรา 302 วรรคแรก ประกอบมาตรา 86
แม้โจทก์จะมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรานี้ ศาลก็ย่อมลงโทษได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
เพราะการทำให้แท้งลูกไม่ว่าหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติเป็นความผิดทั้งนั้น หากแต่กำหนดโทษหนักเบาต่างกัน
-
กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดต่อเสรีภาพ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1173/2521
ตำรวจกำลังค้นหาตัวผู้ถูกเอาตัวไปเรียกค่าไถ่ จำเลยร้องบอกตำรวจ
โดยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย ว่ามีตำรวจมา 2 คันรถ
แต่จำเลยไม่ใช่ผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวของตำรวจ ดังนี้
จำเลยไม่ใช่ผู้สนับสนุนการเรียกค่าไถ่
-
กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ กรณีลักทรัพย์
ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 587/2496 จำเลย 2 คน ได้ร่วมรู้กับคนร้าย ไปในการปล้นทรัพย์
แต่ไม่ได้ไปลงมือทำการปล้นด้วย เป็นการแต่นั่งรออยู่ในรถยนต์ ซึ่งคนร้ายใช้เป็นพาหนะไปปล้น
จอดอยู่ห่างที่เกิดเหตุราว 20 เส้น
เมื่อคนร้ายปล้นได้ทรัพย์แล้ว ก็มาขึ้นรถ จำเลยทั้งสองก็กลับมารถพร้อมกัน
จำเลยคนหนึ่งเป็นคนขับรถยนต์นั้น ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยทั้ง 2 ได้กระทำการอุดหนุนแก่ผู้กระทำผิดในการปล้นทรัพย์ มีผิดฐานสมรู้
ยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวการ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 50/2511 จำเลยคอยรับถุงแป้งมันสำปะหลังจากคนร้ายที่ลักมาลงบรรทุก
เรือของจำเลยซึ่งจอดคอยรับบรรทุกอยู่ที่ท่าน้ำริมตลิ่งห่างจากโกดังที่ คนร้ายไปเอาแป้งมา
30 วา อันมิใช่รับส่งกันในที่เกิดเหตุ จึงถือว่า เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด
ดังนี้ จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ประกอบ
ด้วยมาตรา 86
-
คำพิพากษาฎีกาที่
2154/2516 จำเลยที่
1 ที่ 2 ร่วมปรึกษาหารือกับจำเลยที่ 3 เพื่อจะไปลักกระบือ แล้ววางแผนให้จำเลยที่ 1
ที่ 2 และ ส.ไปซุ่มรอรับกระบือที่หัวทุ่ง จำเลยที่ 3
กับพวกไปต้อนกระบือของผู้เสียหายมาส่งให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส.สถานที่ที่จำเลยที่
1 ที่ 2 และ ส.รอรับกระบือกับสถานที่ที่จำเลยที่ 3
และพวกไปต้อนกระบือนั้นอยู่ไกลกันมาก จำเลยที่ 1 ที่ 2
จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะร่วมมือกับจำเลยที่ 3 ขณะจำเลยที่ 3 กับพวกกระทำการลักกระบืออันจะถือว่าจำเลยที่
1 ที่ 2 เป็นตัวการ แต่พฤติการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2
ได้ส่งเสริมอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 3 กับพวกในการที่จะไปลักกระบือ จำเลยที่ 1
ที่ 2 จึงเป็นผู้สนับสนุนก่อนกระทำผิด (สังเกต หากเป็นตัวการ จะเป็นเหตุฉกรรจ์ตาม
ม 335 (7))
-
คำพิพากษาฎีกาที่
1556/2518 จำเลยที่
3 จ้างให้จำเลยที่ 2 พาไปหารถมาบรรทุกไม้ จำเลยที่
2 พาจำเลยที่ 3 ไปติดต่อกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกไปจอดรออยู่ที่หลังสถานีรถไฟ จำเลยที่
2 ขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 3 นั่งซ้อนท้ายไปจอดอยู่ใกล้กับรถบรรทุก
ขณะนั้นมีไม้กระดานของผู้เสียหาย ซึ่งได้ฝากเก็บไว้ ใต้ถุนบ้านพักคนงานรถไฟถูกลักจากที่เก็บมากองไว้
บริเวณนั้น จำนวนหนึ่งแล้ว จำเลยที่ 3 บอกว่าจะเข้าไปขนไม้มาอีก
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่
3 กำลังเข้าไปลักไม้ที่เหลือออกมาอีก จำเลยที่ 2 จึงไปรออยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟ ส่วนจำเลยที่ 1 อยู่ที่รถบรรทุก
เมื่อได้ไม้ตามจำนวน ที่ต้องการแล้ว จะได้ขนไม้ทั้งหมด ขึ้นบรรทุกรถพาหนีไป แต่ตำรวจมาตรวจพบและจับกุมเสียก่อน
การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังนี้
ถือได้ว่าได้ส่งเสริมอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่ 3 กระทำการลักทรัพย์
จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน การกระทำผิดของจำเลยที่ 3
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1124/2519 จำเลยร่วมคิดวางแผนกับพวก
จำเลยจอดรถยนต์ห่างที่เกิดเหตุ 80 เมตร มีศาลาบังมองไม่เห็น
พวกจำเลยวิ่งราวทรัพย์แล้ววิ่งมาขึ้นรถหนีไปตามแผน จำเลยเป็นผู้สนับสนุน
รถยนต์ไม่ได้ใช้กระทำผิด ไม่ริบ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1732/2522
จำเลยรับเอาแผนการปล้นโดยนำรถบรรทุกสินค้าไปหยุด ณ ที่กำหนด
ให้พวกปล้นเอารถและสินค้าไป ไม่มีพฤติการณ์อื่นว่าจำเลยร่วมกระทำในขณะปล้น
จึงเป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2663/2522 จำเลยที่ 1 ขับรถแล่นขึ้นล่องไปมาในท้องที่เกิดเหตุ
ก่อนเกิดเหตุและขับรถตามหลัง แล้วแซงขึ้นหน้ารถโดยสารคันที่ถูกปล้น เพื่อคอยช่วยเหลือจำเลยอื่น
ขณะทำการปล้นอยู่ในรถ ทั้งเพื่อคอยรับพาหลบหนีหลังจากการปล้นทรัพย์เสร็จสิ้นแล้ว
จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด มิใช่เป็นตัวการร่วมปล้นทรัพย์ด้วย โดยการแบ่งหน้าที่กันทำ
เพราะมิได้มาในรถโดยสารและร่วมปล้นด้วย เมื่อจำเลยอื่นร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ
ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนการปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธด้วย
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3347/2525 จำเลยที่
1 ชวนผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานไปดูภาพยนตร์ขากลับ เมื่อมาระหว่างทาง
จำเลยที่ 1 จอดรถและเข้าไปปัสสาวะข้างทาง กลับมามีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามมาด้วย
จำเลยที่ 3 ตรงไปเอารถจักรยานถีบไป แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2
เข้าใช้กำลังประทุษร้ายพรากผู้เสียหายไป ดังนี้ เป็นการให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่
1 ที่ 2 กระทำความผิด จำเลยที่ 3 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. ม.
86, 318
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 757/2528 จำเลยเป็นบุตรของผู้เสียหาย
อันเกิดจากภรรยาคนเดิมเคยอาศัยอยู่ที่บ้านผู้เสียหาย
จำเลยรู้ว่าพวกคนร้ายจะทำการปล้นทรัพย์ จำเลยได้ผูกสุนัขดุไว้ และพาพวกคนร้ายเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย
ดังนี้ เป็นการช่วยเหลือ และให้ความสะดวกแก่คนร้ายในการปล้นทรัพย์
จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดปล้นทรัพย์
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2118/2529 ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีก
2 คนร่วมปล้นทรัพย์และฆ่าผู้อื่นตาย ปรากฏว่าจำเลยเพียงแต่ช่วยวางแผนให้คนร้าย
2 คนไปกระทำผิดใน สวนยางและขณะคนร้าย 2 คนไปกระทำความผิดตามแผนที่วางแผนไว้
จำเลยยืนอยู่นอกสวนยาง ห่างสวนยางชั่วระยะตะโกนกันได้ยิน ใน ช่วงระยะเวลาที่คนร้าย
2 คนดังกล่าวกระทำความผิด นางสาวอ.
บุตรผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ผ่านจำเลยเข้าไปในสวนยางที่ เกิดเหตุจำเลยก็มิได้ส่งสัญญาณให้คนร้าย
2 คนดังกล่าวทราบหรือ เข้าช่วยคนร้าย 2 คนนั้น
คงยืนอยู่เฉย ๆ เมื่อคนร้าย 2 คน นั้นกระทำความผิดตามที่วางแผนไว้สำเร็จแล้ว
คนร้ายคนหนึ่ง หลบหนีไปทางอื่น คนร้ายอีกคนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ผ่านหน้าจำเลยไปแล้ว
จำเลยก็กลับบ้าน การกระทำของจำเลย ดังกล่าวยังไม่ถึงขั้นเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับ
คนร้าย 2 คนนั้นโดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เป็นการช่วยเหลือหรือ
ให้ความสะดวกในการที่คนร้าย 2 คนดังกล่าวกระทำความผิด จำเลย จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของคนร้าย
2 คนดังกล่าว. / เมื่อปรากฏว่าคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ของผู้ตายโดยใช้
กำลังประทุษร้ายโดยการยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวก แก่การลักทรัพย์และพาเอาทรัพย์ไปจนเป็นเหตุให้เจ้าทรัพย์
ถึงแก่ความตายมี 2 คน การกระทำของคนร้าย 2 คนดังกล่าวจึงเป็น ความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย. /
เสื้อแจกเกตของคนร้ายที่ทิ้งไว้รวมกับบางส่วนของทรัพย์สินของ ผู้ตายที่คนร้ายชิงไปถือไม่ได้ว่าเสื้อตัวนี้เป็นทรัพย์สิน
ที่คนร้ายได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด นอกจาก นี้เสื้อดังกล่าวยังมิใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า
ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด ศาลจะริบเสื้อดังกล่าวไม่ได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3985/2530 จำเลยที่ 2
ขับรถสามล้อเครื่องพาจำเลยที่ 1 มายังที่เกิดเหตุขณะที่จำเลยที่ 1
กำลังลักทรัพย์ในร้านผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 จอดรถอยู่บริเวณหน้าร้านผู้เสียหายห่างประมาณ
6-7 เมตรและนั่งอยู่เฉย ๆ
ข้างรถสามล้อเครื่องมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเอาทรัพย์ผู้เสียหายไป
มิได้คอยดูต้นทางให้จำเลยที่ 1 หรือให้ความร่วมมือ โดยใกล้ชิดกับการที่จำเลยที่ 1
ลักทรัพย์ของผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 เพียงแต่รอคอยอยู่เพื่อจะขับรถพาจำเลยที่ 1
ออกไปจากที่เกิดเหตุ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำการอันเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่
1 ก่อนและขณะกระทำผิด จำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1
กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แต่เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด / จำเลยที่ 2
เพียงแต่ขับรถสามล้อเครื่องมาส่งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1
ลักทรัพย์ผู้เสียหาย ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1
ได้ใช้รถสามล้อเครื่องดังกล่าวเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ พาทรัพย์ไป
หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมจำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 336 ทวิ
คงมีความผิดตามมาตรา 335 วรรคสามเท่านั้น
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3091/2531
จำเลยที่ 5 มิได้มีเจตนาร่วมลักทรัพย์
แต่ขับรถยนต์กระบะเข้ามาจอดตรงบริเวณที่มีลูกปาล์ม
ซึ่งจำเลยอื่นได้ลักตัดจากต้นปาล์มของผู้เสียหาย นำมากองไว้ โดยจำเลยที่ 5
ได้นัดหมายกับจำเลยอื่นไว้ก่อนแล้ว ว่าจะมาขนลูกปาล์มไป หลังจากจำเลยอื่นลักทรัพย์เสร็จสิ้นแล้วนั้น
เท่ากับว่าจำเลยที่ 5 ได้ตกลงช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยอื่นกระทำความผิด
ไว้ตั้งแต่ก่อนกระทำความผิดแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 5
เป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ของจำเลยอื่น
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 5087/2533
จำเลยที่ 2 เป็นภรรยาจำเลยที่
1 ในวันเกิดเหตุจำเลยทั้งสอง ไปซักผ้าที่บ่อน้ำหน้าบ้านของโจทก์ร่วมด้วยกัน
แต่จำเลยที่ 1 แยกตัวไปก่อน แล้วจำเลยที่ 2 ได้เข้าไปชวน ส. มารดาของโจทก์ร่วม ซึ่งอยู่เฝ้าบ้านให้ออกไปเก็บใบพลู
ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือ จำเลยที่ 1 ให้เข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของโจทก์ร่วมได้โดยสะดวก
และหลังจากมีเสียงสุนัขเห่าซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้าไปใน
บ้านของโจทก์ร่วมแล้ว ส. จะกลับ จำเลยที่ 2 ก็ได้ชวนคุยต่อ อันถือได้ว่าเป็นการหน่วงเวลาไว้เพื่อให้ความสะดวกแก่จำเลยที่
1 ซึ่งกำลังเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านโจทก์ร่วมกระทำผิดได้ต่อไป การกระทำ
ของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่
1 ทั้งก่อนและขณะเข้าไปลักทรัพย์ของโจทก์ร่วม อันเป็นความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 86
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3257/2537 การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพระภิกษุร่วมกับจำเลยที่
1 และที่ 3 เข้าไปในห้องเกิดเหตุ แล้วจำเลยที่
2 จากไปด้วยอาการรีบร้อน เป็นพฤติการณ์ที่เปิดโอกาสให้จำเลยที่
1 และที่ 3 ลงมือทำร้ายและ ลักทรัพย์ของผู้เสียหาย
และอาวุธปืนที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 ก็เป็น อาวุธปืนกระบอกเดียวกับที่จำเลยที่
2 นำไปฝากไว้แก่พยานโจทก์ และจำเลยที่ 2 ไปขอคืนมาในตอนเช้าวันเกิดเหตุ ข้อเท็จจริง ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง
โดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร
แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 ยังไม่ถึงขั้น เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่
1 และที่ 3 โดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เป็น เพียงผู้สนับสนุนให้จำเลยที่
1 และที่ 3 กระทำผิดเท่านั้น / ก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่
4 เป็นผู้พาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไปชี้ห้องที่เกิดเหตุเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 4 เป็นเพียง ผู้สนับสนุน มิใช่ตัวการร่วมกระทำผิด แม้จำเลยที่ 4 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยที่ 4 ให้ถูกต้องได้ / โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33,
83, 91, 92, 340, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,
72, 72 ทวิ ให้จำเลยทั้งสี่ ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์พระพุทธรูปที่แตกหักเป็นเงิน
20,000 บาท แก่ผู้เสียหาย ริบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และรถยนต์ ของกลางและเพิ่มโทษจำเลยที่
1 ตามกฎหมาย / ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า
ตามวัน เวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 และที่
3 ได้เข้าไป ในห้องที่เกิดเหตุลักเอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น ราคา 5,000 บาท พระพุทธรูปสมัยเชียงแสนหน้าตัก
8 นิ้ว 1 องค์ ราคา 20,000 บาท พระพุทธรูปแก้วสีน้ำตาลหน้าตัก 8 นิ้ว 1 องค์ ราคา 20,000 บาท ของ ผู้เสียหายไป โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยที่
1 ได้ใช้อาวุธปืน ต่อสู้ระหว่างหลบหนีการจับกุม ทรัพย์สองรายการแรกผู้เสียหาย
ได้รับคืนแล้ว ส่วนพระพุทธรูปแก้วสีน้ำตาลจำเลยที่ 1 ทำตกแตกในบริเวณที่เกิดเหตุ
คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ ได้ร่วมกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่
ข้อเท็จจริง จากพยานหลักฐานของโจทก์เห็นได้ว่าการที่จำเลยที่ 2 ร่วมทางกับ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไปยังห้องพักที่เกิดเหตุในวันที่ 6 กุมภาพันธ์
2534 และได้พูดกับนางชีฟองเพียงว่า มาจากวัดบ่อไร่ จังหวัดตราด จะมาซื้อของไปทอดผ้าป่า
หากกลับวัดบ่อไร่ไม่ทันจะขอพัก ค้างคืนที่นั่น ซึ่งดูไม่เป็นสาระประการใด พฤติการณ์ส่อว่าจำเลย
ที่ 1 ถึงที่ 3 พากันไปดูลู่ทางเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์มากกว่า
และในวันถัดไปคือวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามดังกล่าวได้ไปยัง ห้องพักดังกล่าวอีก ทั้งที่ไม่ปรากฏว่ามีธุระจำเป็นใดที่จะต้องไปยัง
สถานที่ดังกล่าวอีก การที่จำเลยที่ 2 ไปเพียงเข้าห้องน้ำแล้วจากไป
ด้วยอาการรีบร้อน เป็นพฤติการณ์ที่เปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1 และที่
3 ลงมือทำร้ายผู้เสียหายและลักเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป และอาวุธปืน
ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากจำเลยที่ 1 ในขณะจับกุมก็เป็น อาวุธปืนพกลูกซองมีทะเบียน
นว.6/14802 ซึ่งมีกระสุนปืนบรรจุอยู่ 3 นัด ซึ่งเชื่อได้ว่าเป็นอาวุธปืนกระบอกเดียวกับที่จำเลยที่ 2 นำไปฝากสิบตำรวจตรีสุวัฒน์ชัยไว้ และไปขอคืนมาในตอนเช้า วันเกิดเหตุ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า
จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต
และพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมืองหมู่บ้าน และ ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร / ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยที่
2 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ ด้วยนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่
2 นำจำเลยที่ 1 และที่ 3 เข้าไปในห้องที่เกิดเหตุ แล้วออกไปก่อนที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ลงมือกระทำความผิดการกระทำของจำเลยที่
2 จึงยังไม่ถึงขั้น เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เป็นเพียงผู้สนับสนุนให้จำเลยที่
1 และที่ 3 กระทำความผิด / อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า
ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ได้ไปยังห้องที่เกิดเหตุกับจำเลยที่
1 และที่ 3 ด้วย คงได้ความแต่เพียงว่าก่อนเกิดเหตุหนึ่งวัน
จำเลยที่ 4 เป็นผู้พาจำเลยที่ 1 ถึงที่
3 ไปชี้ห้องที่เกิดเหตุเท่านั้น ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่
4 จึงเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก ก่อนการกระทำความผิด มิใช่ตัวการในการกระทำความผิด
เมื่อปรากฏว่า ขณะเกิดเหตุมีเพียงจำเลยที่ 1 และที่ 3
เข้าไปลักทรัพย์ผู้เสียหาย โดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการอุดปากและทุบแก้มผู้เสียหายจนฟันหัก
1 ซี่ เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ และการพาทรัพย์นั้นไป เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย
การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่น
ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย ที่ศาลล่าง ลงโทษจำเลยที่
1 ที่ 3 และที่ 4 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้น
ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความจะมิได้ฎีกา
ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้น วินิจฉัยปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ที่
3 และที่ 4 ให้ถูกต้องได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195 วรรคสอง
-
คำพิพากษาฎีกาที่
16/2544 จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสายไฟฟ้าเก่าของผู้เสียหายที่วางอยู่ตามพื้นในโรงงานมาวางบนเหล็กร้อน
ทำให้เปลือกสายไฟฟ้าไหม้ละลายหมดเหลือแต่ลวดทองแดงที่เป็นซากของสายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเอาทรัพย์นั้นไปขายก็มิใช่แปรสภาพไปเป็นของอื่น
ถือว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เริ่มลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นับแต่ที่นำสายไฟฟ้าไปวางบนเหล็กร้อนและเป็นความผิดต่อเนื่องกันมา
จนกระทั่งขนย้ายลวดทองแดงออกจากโรงงาน ไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่
1 ที่นอกรั้วโรงงาน แต่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 2
และที่ 3 โยนทรัพย์ออกมาประมาณ 100 เมตร
ไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ไม่ใช่แบ่งหน้าที่กันทำในส่วนที่เป็นการกระทำความผิด
จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการ
คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่
2 และที่ 3 เท่านั้น
/ การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างโดยให้จำเลยที่
1
ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงานเพื่อบรรทุกทรัพย์ไปย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า
ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป
จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตาม
ป.อ. มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1
มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว / สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่
มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่น
เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 43 อีกไม่ได้
แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้
ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
/ จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่
2 และที่ 3 ลักไป จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรง
จึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ
ตาม ป.อ. มาตรา 33(1)
-
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 674/2545 จำเลยที่ 4 เข้าไปแอบซ่อนตัวอยู่ในช่องเก็บสัมภาระใต้ท้องรถ
เพื่อลักทรัพย์ของผู้โดยสาร โดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ด้วยความรู้เห็นเป็นใจของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขับรถ ขณะนำรถมาจอดและรับประทานอาหาร
การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 4 ลักทรัพย์ผู้เสียหาย จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 86
-
กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด
ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ กรณีลักทรัพย์
ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2028/2535
พฤติการณ์ที่ปรากฏในบันทึกคำรับสารภาพชั้นจับกุม และบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่
2 ว่า จำเลยที่ 2 รู้ถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นสามีว่าจะไปชิงทรัพย์ผู้ตาย
และขณะที่จำเลยที่ 1 ล็อกคอผู้ตาย จำเลยที่ 2 ก็รีบปลีกตัวออกมาจากที่เกิดเหตุ ยังถือไม่ได้ว่า
จำเลยที่ 2 ได้ร่วมเป็นตัวการในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ผู้ตายร่วมกับจำเลยที่
1 เพราะไม่ได้มีการแบ่งหน้าที่กันทำความผิด เมื่อจำเลยที่
2ไม่ได้ร่วมกระทำผิดตามเจตนาเช่นนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน
ทั้งการนัดหมายระหว่างจำเลยทั้งสองว่าหากจำเลยที่ 1 ลงมือกระทำผิดขณะใด
ให้จำเลยที่ 2 หลบไปจากที่นั้น ก็ไม่ใช่การร่วมมือหรือเป็นการกระทำผิดในทางอาญาเช่นกัน
-
กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ กรณีฉ้อโกง
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3789/2533 จำเลยที่ 4
เป็นพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 1 สาขาลำพูนทราบดีว่า
สำนักงานสาขาลำพูนของบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินทุนดำเนินการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ได้นำเงินค้ำประกันการเข้าทำงาน ของพนักงานมาจ่าย แต่จำเลยที่ 4
ก็ยังดำเนินการรับสมัครงานตลอดมาตามพฤติการณ์ จำเลยที่ 4
ย่อมทราบดีว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีงานการรับสมัครพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 1
สาขาลำพูนดังกล่าว เป็นการหลอกลวงประชาชน เพื่อให้ได้เงินประกันการเข้าทำงานซึ่งจำเลยที่
4 ก็ยังคงดำเนินการให้การหลอกลวงนั้น
บรรลุผลเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่บริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2
กระทำผิดจำเลยที่ 4 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่
811/2534 สามีจำเลยได้ประกาศชักชวนหลอกลวงประชาชนในหมู่บ้านว่าสามารถ
จัดหางานให้ไปทำที่ประเทศสิงค์โปร์ได้ เมื่อผู้เสียหายมอบเงิน ให้สามีจำเลย จำเลยก็นั่งอยู่ด้วย
สามีจำเลยรับเงินจากผู้เสียหาย แล้วส่งให้จำเลย จำเลยรับเงินไว้และพูดว่าหากไม่ได้ไปจะคืนเงินให้
แสดงว่าจำเลยรู้ว่าความจริงสามีจำเลยไม่สามารถพาพวกผู้เสียหาย ไปทำงานต่างประเทศได้
การที่จำเลยรับเงินและพูดดังกล่าวจึงเป็น การพูดสนับสนุนให้พวกผู้เสียหายเชื่อในคำชักชวนของสามีจำเลยยิ่งขึ้น
อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่สามีจำเลย กระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
จึงมีความผิดฐานสนับสนุนการฉ้อโกงประชาชน / ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนวันเวลาเกิดเหตุ
นายทวี ไหวมาก
สามีของจำเลยได้ประกาศชักชวนหลอกลวงประชาชนในหมู่บ้านตำบลหนองกุลา อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก
ว่า สามารถจัดหางานให้ไปทำงานที่ ประเทศสิงคโปร์ได้ ทำให้ผู้เสียหายทั้งเจ็ดหลงเชื่อและมอบเงิน
ให้นายทวีรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 80,000 บาท แต่นายทวีไม่สามารถ
จัดหางานให้ได้ ขณะผู้เสียหายทั้งเจ็ดมอบเงินให้นายทวีสามีของจำเลย จำเลยได้นั่งอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย
นายทวีรับเงินจากผู้เสียหายแล้ว ส่งเงินต่อให้จำเลย จำเลยได้รับเงินไว้ และจำเลยยังได้พูดกับพวก
ผู้เสียหายว่า หากไม่ได้ไปจะคืนเงินให้ นายทวีและจำเลยเป็นสามี ภรรยากันย่อมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
การที่จำเลยพูดกับพวก ผู้เสียหายว่า หากไม่ได้ไปจะคืนให้ก็เป็นการแสดงว่าจำเลยรู้ว่า
ความจริงนายทวีไม่สามารถพาพวกผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศได้ แม้ จะได้ความว่าก่อนวันรับเงินจำเลยเคยถามนายทวีต่อหน้านางหน่วยว่า
นายทวีสามารถพาไปได้จริงหรือเปล่าก็ตาม แต่จำเลยก็ยังพูดข้อความ ดังกล่าวและรับเงินที่นายทวีรับไว้จากพวกผู้เสียหายด้วย
อันเป็น การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่นายทวีกระทำความผิด ฐานฉ้อโกงประชาชนหรืออีกนัยหนึ่ง
เป็นการพูดสนับสนุนให้พวก ผู้เสียหายเชื่อในคำชักชวนของนายทวียิ่งขึ้น การกระทำของจำเลย
จึงมีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3533-3535/2535 จำเลยที่ 2 เป็นบิดาจำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมหลอกลวงโจทก์ร่วม หรือพวกผู้เสียหายมาตั้งแต่ต้น นอกจากช่วยพูดจารับรองกับโจทก์ร่วม
และพวกผู้เสียหายในวันสมัครงานว่าจำเลยที่ 1 สามารถส่งคนไปทำงาน
ต่างประเทศได้จริงและพูดจารับรองว่าจะคืนเงินให้หากไม่ได้ไปหรือ ไปแล้วไม่ได้ทำงานเท่านั้น
พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่
1 กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แล้ว / ในสำนวนแรกและสำนวนที่สามโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่า ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าสามารถ
จัดส่งคนงานไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน และฟ้องสำนวนที่สองว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครอง
คนหางาน พ.ศ. 2528 เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พวกของจำเลยที่ 1 ได้จัดส่งโจทก์ร่วมและผู้เสียหายบางส่วนในสำนวน ที่สองซึ่งเป็นชุดเดียวกับสำนวนแรกและสำนวนที่สามไปทำงานในประเทศ
สิงคโปร์ และบางส่วนให้ไปรอเข้าประเทศสิงคโปร์อยู่ที่ประเทศ มาเลเซียก่อน แต่ในที่สุดคนสมัครงานทุกคนก็ถูกส่งกลับประเทศไทย
โดยไม่ได้เข้าทำงานที่ประเทศไต้หวันตามที่จำเลยที่
1 กับพวก หลอกลวงไว้แม้แต่คนเดียว การส่งโจทก์ร่วมและผู้เสียหายไปประเทศ
สิงคโปร์หรือประเทศมาเลเซียนั้นจึงเป็นเพียงวิธีการหรืออุบาย อย่างหนึ่งในการกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นชุดเดียวกัน
นั่นเอง โดยจำเลยที่ 1 กับพวกไม่ได้มีเจตนาที่จะจัดหางานหรือ
ส่งคนสมัครงานไปทำงานในประเทศที่หลอกลวงไว้แต่อย่างใด และจาก พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมก็รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่
1 กับพวกเคยส่งคนสมัครงานไปทำงานที่ประเทศไต้หวันจริง การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน
พ.ศ. 2528 อีกบทหนึ่ง
-
กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด
ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ กรณีฉ้อโกง
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1584/2529 ผู้เสียหายติดต่อกับบุตรจำเลย
จนตกลงใจจะไปทำงานต่างประเทศ ได้ไปทำหนังสือเดินทางเสร็จ
และกำหนดวันจ่ายเงินค่าตอบแทนแก่บุตรจำเลย เมื่อนำเงินไปจ่ายตามนัด
แม้จำเลยจะอยู่ด้วยช่วยนับเงินและพูดเสริมคำของบุตรที่รับรองว่าหากไปไม่ได้งานทำ ก็จะคืนเงินให้
ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการกระทำของบุตร จำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานสนับสนุนการฉ้อโกงตาม
ป.อ. ม.341, 86
-
กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ตามกฎหมายพิเศษ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2597/2516 คำฟ้องในตอนแรกกล่าวว่า ส. ซึ่งเป็นพนักงานขับรถยนต์ ขององค์การ
ร.ส.พ. ร่วมกับจำเลยและพวกลักเอาผ้าปูพื้นเต็นท์สนาม
ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบขององค์การ ร.ส.พ. และบรรทุกมาในรถที่ ส.
ขับ ในตอนต่อไปกล่าวว่า การกระทำของ ส. ดังกล่าวเป็นการเบียดบังทรัพย์ที่อยู่ในความครอบครองขององค์การ
ร.ส.พ. ในขณะที่ ส.
มีหน้าที่จัดการและรักษาทรัพย์นี้ตามหน้าที่ไป เป็นประโยชน์ของตนและผู้อื่นโดยทุจริต จำเลยกับพวกเป็นผู้สนับสนุน การกระทำของ
ส. เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไป กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์ บรรยายฟ้องประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.
2502 มาตรา 4 ซึ่งมีอัตราโทษหนักนั่นเอง และในกรณีเช่นนี้การกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดฐานสนับสนุนผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.
2502 เท่านั้น หาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
335 ด้วยไม่
-
กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดเกี่ยวกับการครอบครอง หรือพาอาวุธ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2173/2514 จำเลยที่ 1
เคยเหมาเรือยนต์ของจำเลยที่ 4 ไปเอาอาวุธปืนเป็นประจำ โดยจำเลยที่ 4
รู้ว่าจำเลยที่ 1 ได้อาวุธปืนนั้นไปสำหรับการค้า การที่จำเลยที่ 4
รู้แล้วยังใช้เรือเป็นพาหะรับส่งจำเลยที่ 1 อีกเช่นนี้
ถือเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการกระทำความผิด ฐานมีอาวุธปืนไว้นครอบครอง
จำเลยที่ 4 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
-
กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1809/2530 การที่จำเลยที่ 2
ทำหน้าที่ปิดเปิดประตูบ้านให้จำเลยที่ 1 และที่ 4
ซึ่งพาผู้ซื้อเข้าไปดูเฮโรอีนที่บ้าน และหลังจากนั้นจำเลยที่ 2
เดินออกจากบ้านพร้อมจำเลยที่ 1ซึ่งนำเฮโรอีนไปส่งแก่ผู้ซื้อก็ดี การที่จำเลยที่ 3
เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับผู้ซื้อก็ดีและการที่จำเลยที่ 4 เข้ามาร่วมกับจำเลยที่3
เจรจาซื้อขายเฮโรอีนกับผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อถามถึงเรื่องส่งมอบ จำเลยที่ 4
ไปตามจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของของผู้ครอบครองเฮโรอีนมาเจรจาก็ดี เมื่อจำเลยที่ 2
ที่ 3 และที่ 4 มิได้ร่วมครอบครองเฮโรอีนด้วย การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือจำเลยที่
1 ในการขายเฮโรอีน จึงเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1
ในการมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
-
กรณีถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดเกี่ยวกับการไม้หวงห้าม หรือป่าไม้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2183/2522 จำเลยรับจ้างบรรทุกไม้ขึ้นบรรทุกรถยนต์
โดยรู้ว่าเป็นไม้หวงห้ามผิดกฎหมาย โดยเจ้าของควบคุมไปด้วย
ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีไม้ของกลางไว้ในความครอบครอง แต่เป็นผู้สนับสนุนตาม ป.อ.
ม.86
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3418/2524 ขณะเกิดเหตุ
เจ้าของได้ครอบครองไม้ของกลางอยู่ด้วยตนเอง จำเลยเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ซึ่งบรรทุกไม้นั้น
ก็เป็นแต่ผู้รับจ้างบรรทุกไม้เท่านั้น
จำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการครอบครองไม้ของกลาง
จึงถือว่าจำเลยร่วมกระทำผิดกับเจ้าของไม้ไม่ได้ การกระทำของจำเลย
เป็นเพียงการให้ความช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่เจ้าของไม้ซึ่งกำลังกระทำความผิด
อันเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดเท่านั้น
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 527/2532
ไม้ฟืนของกลางที่จำเลยรับจ้างบรรทุกรถยนต์นั้น ถูกเก็บกองอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ความผิดฐานเก็บหาไม้ฟืนซึ่งเป็นของป่ายังไม่ขาดตอน
พฤติการณ์ที่จำเลยหลบหนีไปเพราะพบเห็นเจ้าหน้าที่
แสดงว่าจำเลยทราบดีว่าไม้ฟืนของกลางอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
การที่จำเลยรับจ้างบรรทุกไม้ฟืน อันเป็นของป่าซึ่งผู้กระทำผิดนำมากองไว้
เพื่อจะนำออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ จึงเป็นการช่วยเหลือ
หรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิดฐานเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
โดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนี้จำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าว
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 4035/2532
จำเลยนำรถยนต์บรรทุกของนายจ้างขนไม้หวงห้ามให้แก่นายจ้าง
เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายจ้างของจำเลย
ในการกระทำความผิดฐานมีไม้ยางแปรรูปของกลางไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 86
-
กรณีไม่ถือเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิด ความผิดเกี่ยวกับการพนัน
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 394/2502
ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามบัญชี ข. โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นได้มี พ.ร.บ.การพนัน
พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 12 บัญญัติความผิดไว้โดยเฉพาะแล้ว
จึงไม่มีผิดฐานสมรู้สนับสนุนผู้กระทำผิดตาม มาตรา 86 อีก
-
จุดที่เกิดความรับผิดของผู้สนับสนุน
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2800/2522
การสนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อาญา ม.86 นั้น
จะต้องมีผู้อื่นเป็นตัวการในการกระทำผิด
หากเป็นกรณีที่ไม่มีตัวการกระทำผิดในความผิดดังกล่าว
ผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในความผิดนั้น ก็ย่อมไม่มีความผิดในฐานเป็นสนับสนุน
-
ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 37
ประจำปี พ.ศ. 2527 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 3 / ก. ต้องการฆ่า
จ. แต่ไม่รู้ว่าจะไปจ้างมือปืนที่ไหน
ข. จึงแนะนำ ก. ไปจ้าง
ค. ซึ่งเป็นมือปืนไปฆ่า
จ. ก. ไปจ้าง
ค. ตามที่ ข. แนะนำ… ถ้าหาก
ก. ไปว่าจ้าง ค. แล้ว
แต่ ค. เกิดไม่ยอมรับจ้างฆ่า
ข. จะมีความผิดฐานใดหรือไม่
/ กรณี ค. ไม่ยอมตกลงรับจ้างฆ่านั้น
ค. ย่อมไม่มีความผิดอะไร ข. ก็ไม่มีความผิดเช่นกัน
เพราะความผิดที่ตนสนับสนุนไม่ได้กระทำลง
จึงถือไม่ได้ว่ามีการสนับสนุน
จะถือว่า ข. พยายามสนับสนุนก็ไม่ได้
เพราะการพยายามสนับสนุนมีไม่ได้
-
ข้อสอบความรู้ชั้น เนติบัณฑิต สมัยที่ 52
ประจำปี พ.ศ. 2542 วิชากฎหมายอาญา คำถามข้อ 2 / นายแดงตกลงตามที่นายม่วงว่าจ้าง
เพราะอยากได้เงินค่าจ้างและตนได้ตกลงใจที่จะฆ่านายดำอยู่ก่อนแล้วไม่ว่านายม่วงจะมาว่าจ้างหรือไม่ก็ตาม
ทั้งนี้ นายม่วงได้ให้นายแดงยืมปืนไปใช้ฆ่านายดำด้วย
เมื่อนายแดงพบนายดำจึงได้แอบเดินไปข้างหลังนายดำและชักปืนออกมาจากเอวเพื่อจะยิงนายดำ
โดยที่ยังมิทันได้ยกปืนจ้องยิงไปทางนายดำ
แต่นายแดงถูกพลเมืองดีเข้าขัดขวางเสียก่อน จึงไม่สามารถยิงนายดำได้ /
แม้การที่นายม่วงจ้างให้นายแดงไปฆ่านายดำ และการให้ยืมปืนไปใช้ในการฆ่า จะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายแดง
แต่นายม่วงก็ไม่เป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เพราะการกระทำของนายแดงยังไม่ถึงขั้นที่เป็นความผิด (คำพิพากษาฎีกาที่
2800/2522)
-
ความรับผิดภายในเจตนาของผู้สนับสนุน
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 280/2510 คนร้ายเข้าปล้นและยิงเจ้าทรัพย์ตาย
พยานโจทก์ที่วิ่งไปสกัดคนร้าย เห็นจำเลยวิ่งมาในพวกคนร้าย 6 คน จำเลยจ้องปืนพูดว่า
อย่าเข้ามา พยานจึงไม่กล้าไล่ตามไป พยานอีกคนหนึ่งเห็นจำเลยนั่งอยู่ชายป่า
เมื่อเกิดเสียงปืนดังแล้ว คนร้ายวิ่งจากบ้านเกิดเหตุมายังที่ที่จำเลยนั่งอยู่
ส่งปืนให้จำเลยแล้ววิ่งเข้าป่าไป เช่นนี้ยังไม่พอฟังว่า
จำเลยสนับสนุนในการที่คนร้ายอื่นเจตนาฆ่าเจ้าทรัพย์มาตั้งแต่ต้น
และแม้ว่าการมีปืนไปปล้น น่าจะเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้เป็นธรรมดา
แต่ก็ยังไม่พอที่จะฟังว่า จำเลยได้เล็งเห็นว่าคนร้ายอื่น
จะถึงกับฆ่าเจ้าทรัพย์โดยเจตนาอีกด้วย จำเลยจึงมีความผิดตาม มาตรา 340
วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 86 ภายในขอบเขตของเจตนาในการสนับสนุนตามมาตรา 87 เท่านั้น
-
ประเด็นเปรียบเทียบ ผู้ใช้
กับผู้สนับสนุน
-
คำพิพากษาฎีกาที่
382/2512 (สบฎ เน 2086) จำเลยที่
3 วิ่งมาพูดยุยงให้ฆ่าผู้ตาย หลังจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายแล้ว
เห็นได้ว่าจำเลยที่ 3 "มิได้เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 1 ทำผิด"
เพราะลงมือแล้ว คำพูดยุยงเป็นเพียงสนับสนุนเร้าใจให้มุ่งทำร้ายถึงตายผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
-
การร่วมกระทำความผิดกับเจ้าพนักงาน
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 774/2520 จำเลยที่ 1
ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และนำชี้ให้จำเลยที่ 2
เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดพิสูจน์ น.ส. 3 ไปโดยจำเลยที่ 2 ได้บันทึกในคำขอรับรองการทำประโยชน์ว่า
ลักษณะของที่ดินเป็นที่ดินเหนียวปนทราย เหมาะแก่การทำนา ปลูกข้าว อันมิใช่ความจริง การกระทำของจำเลยที่ 1
เป็นการร่วมกระทำผิดตาม ป.อ. ม.157
กับจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1
มิได้เป็นเจ้าพนักงานจึงมีความผิดฐานผู้สนับสนุน
-
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
-
มาตรา 213 หากเป็นอั้งยี่หรือซ่องโจร
อาจต้องต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการ ตามเงื่อนไข ม 213
-
มาตรา 282 ว 4 และ
มาตรา 283 ว 4 ผู้สนับสนุน โทษเท่าตัวการ
-
มาตรา 314 ผู้สนับสนุนในความผิด มาตรา 313
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกันตัวการ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 394/2502
ผู้จัดให้มีการเล่นการพนันตามบัญชี ข. โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นได้มี พ.ร.บ.การพนัน
พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 12 บัญญัติความผิดไว้โดยเฉพาะแล้ว
จึงไม่มีผิดฐานสมรู้สนับสนุนผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 อีก
-
ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 86
-
(ขส เน 2512/
3) สามีแกะ “สร้อยของมารดาภรรยา” ไปจากคอของภรรยา
ผิด ลักทรัพย์ ม 334 ไม่ได้รับยกเว้นโทษตาม ม 71
เพราะเป็นทรัพย์ของ “มารดาภรรยา”
/ นายแกะเห็นเหตุการณ์ตลอด ขับรถพาสามีหนี
นายแกะไม่ผิดฐานสนับสนุนให้ลักทรัพย์ ม 334+86 เพราะเป็นช่วยเหลือหลังจากความผิดลักทรัพย์สำเร็จแล้ว
ไม่ใช่ช่วยเหลือก่อนหรือขณะทำผิด จึงไม่เป็นการสนับสนุน แต่นายแกะผิด ม 189
ฐานช่วยผู้กระทำผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ โดยประการใด
เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม และ ฐานรับของโจร ตาม ม 357 โดยการที่ได้ช่วยพาเอาทรัพย์ที่ลักนั้นไปเสีย
-
(ขส เน 2527/
3) ก ต้องการฆ่า จ / ข จึงแนะนำ ก ให้ไปจ้าง ค
ซึ่งเป็นมือปืน / ก จึงจ้าง ค ให้ยิง จ / ก
ข ค ผิดฐานใด และหาก ก จ้าง ค แล้ว แต่ ค ไม่ฆ่า จ จะผิดฐานใด / กรณีแรก
ค ยิง จ ตามที่รับจ้างฆ่า ผิด ม 289 (4) ฎ 1968/2521 / ก
ผู้ใช้ รับโทษตาม ม 289 (4) เสมือนเป็นตัวการ โดยผลของ ม 84
ว 2 / ส่วน ข แนะนำ ก เป็นผู้สนับสนุน “การใช้ให้ฆ่า” ถือเป็นผู้สนับสนุนการฆ่า
ตาม ม 289 (4) , 86 / กรณีหลัง ค ไม่ตกลงฆ่า ค
ย่อมไม่ผิด / ข ก็ย่อมไม่ผิด
เพราะความผิดที่สนับสนุน ไม่ได้กระทำลง จึงถือไม่ได้ว่ามีการสนับสนุน และถือว่า
พยายามสนับสนุนก็ไม่ได้ เพราะการพยายามสนับสนุน มีไม่ได้ / ก
ผู้ใช้นั้น แม้ความผิดยังไม่ได้ทำลง ผู้ใช้ก็ต้องระวางโทษสองในสามส่วน
ของความผิดที่ใช้ ตาม ม 84 ว 2
-
(ขส พ 2504/
6) เด็กหญิงดำอายุไม่ครบ 13 ปีตกลงอยู่ร่วมฉันสามีภรรยากับนายขาว
อายุ 19 ปี บิดามารดาของเด็กหญิงดำตามใจ
เด็กหญิงดำจึงไปอยู่กินหลับนอนกับนายขาว (นายขาว เด็กหญิงดำ
และบิดามารดาของเด็กหญิงดำ ผิดฐานใด) / นายขาวผิด
ฐานชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปี แม้หญิงยินยอมก็เป็นความผิด ตาม ม 277
/ เด็กหญิงดำไม่มีความผิด เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด
และกำหนดโทษไว้ ตาม ปอ ม 2 (ประกอบกับ มาตรา 277
มุ่งคุ้มครองตัวเด็กหญิงเอง เด็กหญิงที่ยินยอมด้วยในการชำเรา
จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน ในความผิดนี้ / บิดามารดา
ของเด็กหญิง ไม่มีความผิด เพราะไม่เป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำผิดตาม
ม 86 การกระทำเกิดขึ้น เนื่องจากความตกลงใจของเด็กหญิงเอง
ที่ไปหานายขาว ไม่ใช่การกระทำของบิดามารดา
-
(ขส พ 2517/
8) แดงดำ หลอกขาวว่าเป็นตำรวจขอค้นบ้าน และค้นได้แป้งสุรา
คุมตัวไปมอบให้เขียว เขียวอ้างว่าเป็นเจ้าพนักงานสรรสามิต ทำบันทึกให้ขาวยอมรับ
และแจ้งให้นำเงินค่าปรับมาชำระ ขาวบอกไม่มีเงิน แดงดำคุมตัวขาวไปหายืมเงิน
ม่วงเป็นกำนัน แนะนำให้เสียค่าปรับ แล้วทุกคนแบ่งเงินกัน / แดง
ดำ เขียว ผิด ม 145 และ ม 310 และ ม 337 ประกอบ ม 83 ส่วนม่วงผิด ม 86 , 337
และ ม 157 ฎ 1077/2505
-
(ขส พ 2522/
6) คนใช้ไม่พอใจเจ้านาย แกล้งเปิดหน้าต่างให้ขโมยเข้าบ้าน
ขโมยเห็นหน้าต่างเปิด จึงปีนเข้าบ้าน คนใช้ตื่นพอดี เกิดสงสารเจ้านาย
จึงตะโกนว่ามีคนร้าย ขโมยหนีทันที ยังไม่ได้ทรัพย์ เจ้านายจับขโมยได้จึงต่อว่า
ขโมยชกฟันหัก (เพราะโกรธ)
/ ขโมยผิด พยายามลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน
โดยเข้าช่องทางที่มีผู้เป็นใจเปิดไว้ให้ ม 335 (1) (4) (8) , 80
ลงโทษสองในสามส่วน ฎ 854/2507 / ไม่ผิดพยายามชิงทรัพย์ ม 339, 80
เพราะไม่ได้ทำร้ายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม / คนใช้ผิดสนับสนุนลักทรัพย์ ม 335
, 80 , 86
แต่ไม่ผิดสนับสนุนทำร้ายร่างกาย เพราะนอกเหนือเจตนา ม 87
แต่การขัดขวางทำให้ไม่ได้ทรัพย์ไป ไม่ต้องรับโทษตาม ม 88
-
(ขส พ 2529/
8) ดำฟันสีแล้ว แดงร้องบอกว่าฟันให้ตาย ดำจึงฟันสีอีก ถึงตาย
แดงมิได้ก่อให้ดำทำผิด เพราะดำลงมือแล้ว แต่เป็นคำยุยง
อันเป็นการสนับสนุนในการที่ดำกระทำผิด แดง ผิด ม 288+86 ฎ
382/2512 / ดำทำชู้กับสา ต่อมา สีทุบตีสา สาเรียกให้ดำช่วย
ดำรัดคอสีตาย สาก็มิได้ขัดขวางไว้ แสดงว่าสารู้เห็นเป็นใจกับสี
ตามที่ตนร้องขอความช่วงเหลือ สากำชับบุตรห้ามบอกใคร
และหลอกเพื่อนบ้านว่าผัวเมียตีกัน ทั้งที่ดำกำลังทำร้ายสี
เห็นเจตนาได้ชัดว่าทำเพื่อให้ความสะดวกในการที่ดำทำร้ายสี ผิด ม 288+86
ฎ 1113-4/2508
-
(ขส พ 2529/
10) ยอมให้ใช้บ้าน ทดลองทำเหรียญปลอม ผิด ม 240+86
/ รับฝากเครื่องมือผิด ม 246 ลงโทษ ม 240
+ 86 กระทงเดียว ตาม ม 248 / รับฝากเหรียญปลอม
ซึ่งไม่เหมือนจริง ไม่ใช่เจตนาเพื่อนำออกใช้ไม่ผิด ม 244
ฎ ป 1969/2505
-
(ขส อ 2520/
6) กลมจ้างเบี้ยวไปฆ่าเหลี่ยม บิดาของกลม / เบี้ยวไม่รู้ไปถามเหลี่ยม
เหลี่ยมชี้แบน จึงยิงแบนตาย / กลมผิด ม 289
(4) + 84 (สังเกต ม 289 (1)) / เบี้ยว
ผิด ม 289 (4) + 61 / (เหลี่ยม ไม่ผิดสนับสนุน
เพราะไม่มีเจตนาให้ความสะดวกหรือช่วยเหลือ / ไม่ผิดผู้ใช้
เพราะไม่ได้ก่อให้เบี้ยวตัดสินใจ / จึงไม่ต้องอ้างจำเป็น
หรือป้องกัน) (ไม่เป็นป้องกัน
เพราะไม่มีเจตนาพิเศษเพื่อป้องกันสิทธิ))
-
(ขส
อ 2530/ 1) แต่งเป็นพระ หลอกว่าเป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์
เพื่อเอาเงินบริจาค จากชาวบ้าน ผิด ม 208 คนร่วมหลอกเป็นตัวการ ม 208
ด้วย (ฎ 3699-3739/2541 (สบฎ สต 53) ไม่ใช่พระอุปัชฌาย์
แต่บวชให้คนอื่น และมอบเครื่องแต่งกาย ผิด ม 208+86 คนถูกบวช ไม่มีสิทธิ ผิด ม
208) / + ม 343 ว 1 + 83 + 343 ว 2 แสดงตนเป็นคนอื่น (ม 342 (1))
-
(ขส อ 2542/
6) สินสมรส ชื่อของสามี คดีฟ้องหย่า ศาลพิพากษาให้แบ่งที่ดิน สามีขายไป
ผิด ม 352 + 187 + 90 / คนแนะนำให้ขายและซื้อเอาไว้ ผิด
ม 352 + 187 + 86 (น่าจะ ม 84
เพราะแนะนำแล้ว สามีขาย โดยไม่ปรากฏว่าสามีมีเจตนาตั้งแต่ต้น
และเกลื่อนกลืนเป็นตัวการ ม 83 เพราะได้ร่วมมือในการที่สามีขายทรัพย์
ด้วยการรับซื้อเอาไว้เอง) + 357 + 90 / เมียน้อยรับเงินจากสามีโดยรู้ข้อเท็จจริงเรื่องการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์
ไม่ผิด ม 357ว 1 เพราะเงินที่ได้
ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาโดยตรง
มาตรา
87 ในกรณีที่มีการกระทำความผิด
เพราะมีผู้ใช้ให้กระทำตามมาตรา 84 เพราะมีผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิดตามมาตรา
85 หรือโดยมีผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
ถ้าความผิดที่เกิดขึ้นนั้น ผู้กระทำได้กระทำไป “เกินขอบเขต” ที่ใช้หรือที่โฆษณาหรือประกาศ
หรือ “เกินไปจากเจตนา” ของผู้สนับสนุน
ผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับความผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ใช้
หรือที่โฆษณาหรือประกาศ
หรืออยู่ในขอบเขตแห่งเจตนาของผู้สนับสนุนการกระทำความผิดเท่านั้น
แต่ถ้าโดยพฤติการณ์อาจเล็งเห็นได้ว่า
อาจเกิดการกระทำความผิดเช่นที่เกิดขึ้นนั้นได้ จากการใช้
การโฆษณาหรือประกาศ หรือการสนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นนั้น
ในกรณีที่ผู้ถูกใช้
ผู้กระทำตามคำโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไป ให้กระทำความผิด หรือตัวการในความผิด
จะต้องรับผิดทางอาญา มีกำหนดโทษสูงขึ้น “เพราะอาศัยผล” ที่เกิดจากการกระทำความผิด
ผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ผู้โฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
แล้วแต่กรณี ต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่มีกำหนดโทษสูงขึ้นนั้นด้วย แต่ถ้าโดยลักษณะของความผิด
ผู้กระทำจะต้องรับผิดทางอาญามีกำหนดโทษสูงขึ้น เฉพาะเมื่อผู้กระทำต้องรู้
หรืออาจเล็งเห็นได้ว่าจะเกิดผลเช่นนั้นขึ้น ผู้ใช้ให้กระทำความผิด
ผู้โฆษณา หรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
จะต้องรับผิดทางอาญาตามความผิดที่มีกำหนดโทษสูงขึ้น ก็เฉพาะเมื่อตนได้รู้
หรืออาจเล็งเห็นได้ว่าจะเกิดผลเช่นที่เกิดขึ้นนั้น
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 280/2510
คนร้ายเข้าปล้นและยิงเจ้าทรัพย์ตาย พยานโจทก์ที่วิ่งไปสกัดคนร้าย
เห็นจำเลยวิ่งมาในพวกคนร้าย 6 คน จำเลยจ้องปืนพูดว่า อย่าเข้ามา พยานจึงไม่กล้าไล่ตามไป
พยานอีกคนหนึ่ง เห็นจำเลยนั่งอยู่ชายป่า เมื่อเกิดเสียงปืนดังแล้ว
คนร้ายวิ่งจากบ้านเกิดเหตุมายังที่ที่จำเลยนั่งอยู่ ส่งปืนให้จำเลย
แล้ววิ่งเข้าป่าไป เช่นนี้ยังไม่พอฟังว่า
จำเลยสนับสนุนในการที่คนร้ายอื่นเจตนาฆ่าเจ้าทรัพย์มาตั้งแต่ต้น และแม้ว่าการมีปืนไปปล้น
น่าจะเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้เป็นธรรมดา แต่ก็ยังไม่พอที่จะฟังว่า
จำเลยได้เล็งเห็นว่าคนร้ายอื่น จะถึงกับฆ่าเจ้าทรัพย์โดยเจตนาอีกด้วย
จำเลยจึงมีความผิดตาม มาตรา 340 วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 86
ภายในขอบเขตของเจตนาในการสนับสนุนตามมาตรา 87 เท่านั้น
-
ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า
มาตรา 87
-
(ขส พ 2522/
6) คนใช้ไม่พอใจเจ้านาย แกล้งเปิดหน้าต่างให้ขโมยเข้าบ้าน
ขโมยเห็นหน้าต่างเปิด จึงปีนเข้าบ้าน คนใช้ตื่นพอดี เกิดสงสารเจ้านาย
จึงตะโกนว่ามีคนร้าย ขโมยหนีทันที ยังไม่ได้ทรัพย์ เจ้านายจับขโมยได้จึงต่อว่า
ขโมยชกฟันหัก (เพราะโกรธ)
/ ขโมยผิด พยายามลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน
โดยเข้าช่องทางที่มีผู้เป็นใจเปิดไว้ให้ ม 335 (1) (4) (8) , 80
ลงโทษสองในสามส่วน ฎ 854/2507 / ไม่ผิดพยายามชิงทรัพย์ ม 339,
80 เพราะไม่ได้ทำร้ายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม / คนใช้ผิดสนับสนุนลักทรัพย์
ม 335 , 80 , 86
แต่ไม่ผิดสนับสนุนทำร้ายร่างกาย เพราะนอกเหนือเจตนา ม 87
แต่การขัดขวางทำให้ไม่ได้ทรัพย์ไป ไม่ต้องรับโทษตาม ม 88
มาตรา
88 ถ้าความผิดที่ได้ใช้
ที่ได้โฆษณา หรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำ หรือที่ได้สนับสนุนให้กระทำ ได้กระทำถึงขั้นลงมือกระทำความผิด
แต่เนื่องจาก “การเข้าขัดขวาง” ของผู้ใช้
ผู้โฆษณาหรือประกาศ หรือผู้สนับสนุน “ผู้กระทำ” ได้กระทำไปไม่ตลอด
หรือกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้ใช้
หรือผู้โฆษณาหรือประกาศ คงรับผิดเพียงที่บัญญัติไว้ในมาตรา 84
วรรคสอง หรือมาตรา 85
วรรคแรก แล้วแต่กรณี
ส่วนผู้สนับสนุนนั้นไม่ต้องรับโทษ
-
ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า
มาตรา 88
-
(ขส เน 2512/
2) สมศรีโกรธสามี จึงจ้างอุดมและเอนกไปฆ่าสามี / สมศักดิ์หาปืนและขับรถไปส่งอุดมและเอนกที่บ้านสามีสมศรี
เมื่ออุดมและเอนกขึ้นไปบนบ้าน พบสามีสมศรีหลับอยู่ อุดมจึงยกปืนขึ้นจะยิง
แต่กลัวต้องโทษ จึงไม่ยิง เอนกจึงยกปืนจะยิง
แต่สมศรีเกิดความอาลัย จึงวิ่งไปปัดปืน กระสุนลั่นถูกฝาเรือน / สมศรีผู้ใช้ให้ฆ่าคน
ผิด ม 289 (4) + ม 84 รับโทษเสมือนตัวการ
แต่การปัดปืน ถือว่าความผิดที่ใช้ได้กระทำลงแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด
เพราะผู้ใช้เข้าขัดขวาง ผู้ใช้มีความผิดตาม ม 289 ประกอบ
ม 84 ว 1 และ ม 88
รับโทษตาม ม 84 ว 2 คือ
1 ใน 3 ของ ม 289
/ อุดม ยกปืนแล้ว กลัวต้องโทษ จึงไม่ยิง ตาม ม 82
ไม่ต้องรับโทษ / เอนกยิงแล้ว ถูกปัดปืน ผิด ม 289
+80 / สมศักดิ์ผู้สนับสนุน โดยการหาปืนและขับรถให้
ผิด ม 289 + 86 รับโทษ 2 ใน
3
-
(ขส อ 2542/
3) จ้างไปฆ่า ม 289 (4) + 84 คนจ้างปัดปืน
ม 88 (ผู้ใช้รับโทษหนึ่งในสาม ของ ม 289
(4)) คนยิงคนแรก ผิด ม 289+80 แต่ยับยั้งเอง ม 82
(ลักษณะตัวการยังไม่ขาดตอนเลย ไปด้วยกัน) คนยิงคนที่สอง
ถูกปัดปืน ม 289+80 กระสุนถูกทรัพย์ ไม่ผิด ม 358
ไม่มีเจตนา / ผู้สนับสนุน ม 289+86
รับโทษ 2/3
มาตรา
89 ถ้ามี
“เหตุส่วนตัว” อันควรยกเว้นโทษ
ลดโทษหรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดคนใด
จะนำเหตุนั้นไปใช้แก่ผู้กระทำความผิดคนอื่นในการกระทำความผิดนั้นด้วยไม่ได้ แต่ถ้าเหตุอันควรยกเว้นโทษ
ลดโทษหรือเพิ่มโทษ เป็น “เหตุในลักษณะคดี” จึงให้ใช้แก่ผู้กระทำความผิดในการกระทำความผิดนั้นด้วยกันทุกคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น