มาตรา 70 ผู้ใดกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน แม้คำสั่งนั้นจะมิชอบด้วยกฎหมาย
ถ้าผู้กระทำมีหน้าที่ หรือเชื่อโดยสุจริตว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม
ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ เว้นแต่จะรู้ว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งซึ่งมิชอบด้วยกฎหมาย
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 75/2493 ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยจับโจทก์โดยไม่มีหมายจับเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และพนักงานสอบสวนก็ไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้จับโดยไม่มีหมายจับ
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่า คำสั่งของพนักงานสอบสวนเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น
เห็นว่าข้อแก้ตัวของจำเลยฟังไม่ขึ้น ดังศาลเดิมได้วินิจฉัยไว้แล้ว ข้อที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยควรผิดเพียงฐานประมาทเท่านั้น
เห็นว่า จำเลยเจตนาจับโจทก์โดยตรง หาใช่ประมาทไม่ (พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม
ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 270)
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2146/2499 ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนำราษฎรเข้าทำทำนบในนาของเอกชนตามคำสั่งของนายอำเภอซึ่งสั่งการไปตามหน้าที่อันชอบด้วยกฎหมายและเชื่อตามคำสั่งนั้นโดยสุจริต
ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านไม่ต้องรับผิด. (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2500)
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1089/2502
กำนันไม่มีอำนาจสั่งให้ผู้ใหญ่บ้าน จับคนไปส่งอำเภอในข้อหากระทำผิดทางอาญา
โดยไม่มีหมายจับ เมื่อผู้ใหญ่บ้านกระทำตามคำสั่งของกำนัน
จึงมีความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตาม มาตรา 310
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1135/2508
ผู้บังคับกองตำรวจ สั่งให้จำเลยซึ่งเป็นตำรวจใต้บังคับบัญชาไปจับกุมผู้ต้องหา
โดยไม่ได้ออกหมายจับ จำเลยไปจับผู้ต้องหา โดยเข้าใจว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
เพราะได้ถือเป็นหลักปฏิบัติกันตลอดมาว่าไปจับได้
แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการมิชอบ จำเลยทั้งสองก็ไม่ต้องรับโทษตาม มาตรา 70
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1601/2509
จำเลยเข้าใจว่า คำสั่งขอร้องตำรวจเอกสุรพล ผู้ทำการแทนผู้กำกับ
ที่สั่งให้จำเลยไปจับกุมโจทก์นั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้วิทยุสั่งจับมิได้มีข้อความแสดงว่าได้ออกหมายจับแล้ว กรณีต้องด้วย มาตรา 70
จำเลยไม่ต้องรับโทษ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1562/2512
(สบฎ เน 2078) โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์
ลงรายการจำนวนของ และจำนวนเงิน เกินกว่าที่จ่ายไปจริง อันมิชอบและทุจริต
เมื่อโจทก์ร่วมกระทำผิด จะอ้างความจำเป็น ฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้
โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องตาม ม 157
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 6344/2531
นายอำเภอขอความร่วมมือจากประชาชนให้ร่วมกันพัฒนาบริเวณที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2
ได้ฟันตัดไม้ของโจทก์ในบริเวณนั้นโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของโจทก์ทั้งจำเลยที่ 2
เคยตัดฟันต้นไม้ของโจทก์มาก่อนจนถูกฟ้องมาแล้วครั้งหนึ่ง แสดงว่าจำเลยที่ 2
มีเจตนาทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหาย
การที่นายอำเภอขอความร่วมมือดังกล่าวเป็นแต่เพียงคำแนะนำจำเลยที่ 2
จะกระทำหรือไม่กระทำก็ตาม มิได้มีลักษณะเป็นคำสั่งตามความหมายของ มาตรา 70
อันจะทำให้จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับโทษ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดตาม
มาตรา 358
-
(คดีไอค์มัน หน้า 218) ศาลทหารระหว่างประเทศได้วินิจฉัยว่า “บรรดาคำสั่งซึ่งขัดต่อหลักของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
และศีลธรรม และคำสั่งซึ่งละเมิดต่อกฎที่สำคัญซึ่งเป็นหลักสำหรับสังคมมนุษย์
และถ้าปราศจาหลักนี้ มนุษย์ก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้
คำสั่งเช่นนี้ย่อมไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ ไม่ว่าในทางกฎหมาย
หรือในแง่ศีลธรรม”
มาตรา 71 ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถึงมาตรา
336 วรรคแรก และมาตรา 341 ถึงมาตรา 364
นั้น ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภริยา หรือภริยากระทำต่อสามี
ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ
ความผิดดังระบุมานี้
ถ้าเป็นการกระทำที่ผู้บุพการีกระทำต่อผู้สืบสันดาน
ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการี หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน กระทำต่อกัน
แม้กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้
ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และนอกจากนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
-
มาตรา 71 วรรค
1
-
สามีภรรยา ต้องชอบด้วยกฎหมาย
-
ทรัพย์ที่ถูกกระทำ ต้องเป็นทรัพย์ของสามีหรือภรรยาเท่านั้น
โดยไม่มีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
-
ความผิดตามาตรานี้
เป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ เฉพาะที่ไม่มีการข่มขู่ หรือใช้กำลังประทุษร้าย
และต้องไม่เกิดผลฉกรรจ์ ที่ทำให้ถึงอันตรายสาหัส หรือถึงแก่ความตายเท่านั้น
-
มาตรา 71 วรรค 2
-
บุพการี และผู้สืบสันดาน ถือตามความเป็นจริง
-
พี่น้อง ต้องร่วมบิดาและร่วมมารดา
กระทำต่อกัน และถือตามความเป็นจริง /
หากต่างบิดา หรือต่างมารดา ไม่เข้าหลักเกณฑ์
-
ทรัพย์ที่ถูกกระทำ ต้องเป็นของบุคคลตามที่ระบุไว้
โดยไม่มีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย จึงเข้าหลักเกณฑ์ได้รับเหตุบรรเทาโทษ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 956/2509 คำว่าสืบสันดาน
ตามพจนานุกรม หมายความว่าสืบเชื้อสายมาโดยตรง และตาม ปพพ.
มาตรา 1586, 1587, 1627 แสดงว่า บุตรบุญธรรมย่อม
มีฐานะแตกต่างกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม และผู้รับบุตรบุญธรรม
ก็มีฐานะต่างกับบุพการีโดยตรงของบุตรบุญธรรมอยู่หลายประการ มาตรา 1586, 1627
เป็นบทบัญญัติพิเศษให้สิทธิบางประการแก่บุตรบุญธรรมในทางแพ่ง
เกี่ยวกับสัมพันธ์ทางครอบครัว และมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมเท่านั้น ต้องใช้โดยเคร่งครัด เฉพาะการตีความถ้อยคำใน ป.
อาญา ก็ต้องตีความ โดยเคร่งครัดจึงหาชอบที่จะนำบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.
มาใช้ตีความคำว่า ผู้สืบสันดาน ตามมาตรา 71 วรรค 2ไม่ บุตรบุญธรรม
จึงไม่ใช่ผู้สืบสันดานกระทำต่อบุพการีตามมาตรา 71 จึงยอมความไม่ได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 221/2528 การที่ภริยา
หรือสามีกระทำความผิดแล้ว จะไม่ต้องรับโทษหรือได้รับยกเว้นโทษ ป.อ. ม.71 วรรคแรก
บัญญัติไว้ว่า ต้องเป็นเรื่องกระทำต่อทรัพย์อันเป็นความผิดตาม ม.334 ถึง ม.336
วรรคแรก และ ม.341ถึง ม.364 เท่านั้น ไม่มีข้อจำกัดว่าภริยา
หรือสามีนั้นจะต้องกระทำความผิดตามลำพังคนเดียวแต่อย่างใด
เมื่อจำเลยเป็นภริยาผู้เสียหายมีหลักฐานภาพถ่ายใบสำคัญการสมรสมาแสดง
และจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร ซึ่งจะเป็นการกระทำความผิดตามลำพังคนเดียว
หรือมีบุคคลอื่นร่วมกระทำผิดด้วย ก็ต้องถือว่ามีเหตุส่วนตัวให้จำเลยไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับการยกเว้นโทษตามม.71
วรรคแรกแล้ว
-
คำพิพากษาฎีกาที่
2185/2532 ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักไปเป็นทรัพย์ที่พี่สาวจำเลย
และสามีของพี่สาวจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกัน มิใช่ทรัพย์ของพี่สาวจำเลยเพียงผู้เดียว หากจำเลยลักทรัพย์ดังกล่าวไปจริงตามฟ้อง
จำเลยก็มิได้กระทำต่อพี่สาวจำเลยแต่เพียงผู้เดียว แต่กระทำต่อสามีของพี่สาวจำเลย
ซึ่งมิใช่พี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกับจำเลยด้วย การกระทำของจำเลยจึงมิใช่ความผิดอันยอมความได้ตาม
ป.อ. มาตรา 71 วรรคสอง
-
ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา
71
-
(ขส เน 2510/ 1) สามีลักทรัพย์ของภรรยา สามีผิด ม 334 แต่ไม่ต้องรับโทษ
ตาม ม 71 คนรับซื้อทรัพย์ไว้ ผิด ม 357
-
(ขส อ 2526/ 5) สามีภรรยาทะเลาะกัน สามีเอาเสื้อภรรยามาเผา ผิด ม 358 ไม่ต้องรับโทษตาม ม 71
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น