มาตรา 67 ผู้ใดกระทำความผิด “ด้วยความจำเป็น”
(1)
เพราะอยู่ในที่บังคับ
หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยง หรือขัดขืนได้ หรือ
(2)
เพราะเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่น พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง
และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้น ตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว
ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
-
สรุป (อ
เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 พ.ศ.2546)
-
มาตรา 67 (1)
-
อยู่ในที่บังคับ
หรือภายใต้อำนาจ
-
ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยง
หรือขัดขืนได้
-
หากเลี่ยงได้แต่ไม่เลี่ยง
กลับเลือกที่จะกระทำผิด จะอ้างว่าจำเป็น เพื่อยกเว้นโทษไม่ได้
-
ผู้กระทำ จะต้องกระทำผิดโดยเจตนา (ประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผล) และประกอบด้วยเจตนาพิเศษ
คือ เจตนากระทำผิด ด้วยความจำเป็น เนื่องจากมีเหตุถูกบังคับ หรือภายใต้อำนาจฯ
-
ผู้กระทำต้องมิได้ก่อเหตุนั้น
ขึ้นโดยความผิดของตน
-
ผู้กระทำก่อเหตุเอง จะอ้างจำเป็น
เพราะอยู่ในที่บังคับ ไม่ได้ เพราะอาจเลี่ยงได้ตั้งแต่แรก โดยไม่ก่อเหตุเสียเอง
-
กระทำไปไม่เกินขอบเขต
-
การกระทำเกินขอบเขต
-
กระทำโดยเกินสมควรแก่เหตุ
-
กระทำเกินวิถีทาง น้อยที่สุด หรือเกินสัดส่วน
อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง / “สัดส่วน” จะใช้หลักเดียวกับป้องกันไม่ได้
เพราะการอ้างป้องกันเป็นการกระทำต่อ “ผู้ก่อภัย” แต่กระทำโดยจำเป็น
เป็นการกระทำต่อ “บุคคลที่สาม” หาก
“ภัยแรกที่เป็นเหตุให้ต้องกระทำผิด” เท่ากว่า
หรือน้อยกว่า “การกระทำความผิดที่จำเป็นต้องกระทำ” ต้องถือว่าไม่ได้สัดส่วน
และเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ
-
กระทำเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น
-
เหตุที่มาบังคับนั้น ยังอยู่ห่างไกล
หรือสามารถหลีกเลี่ยงได้
-
มาตรา 67 (2)
-
มีภยันตราย
-
การอ้างป้องกันเป็นการกระทำต่อ “ผู้ก่อภัย” แต่กระทำโดยจำเป็น
เป็นการกระทำต่อ “บุคคลที่สาม”
-
ภยันตรายนั้น ใกล้จะถึง
-
ภยันตรายนั้น
ไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้
-
ผู้กระทำเพื่อป้องกัน ไม่จำต้องหนี
ทั้งที่สามารถหนีได้ แต่การกระทำโดยจำเป็นนั้น
ผู้กระทำจะต้องพยายามหาทางเลี่ยงให้พ้นภยันตรายนั้นทุกวิถีทาง
-
ภยันตรายนั้น ผู้กระทำโดยจำเป็น
มิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
-
ผู้กระทำโดยจำเป็น
ได้กระทำเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นพ้นภยันตราย
-
ผู้กระทำ จะต้องกระทำผิดโดยเจตนา (ประสงค์ต่อผล
หรือย่องเล็งเห็นผล) และประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ
เจตนากระทำผิด ด้วยความจำเป็น เพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่น พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง
และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
-
กระทำไปไม่เกินขอบเขต
-
เปรียบเทียบ มาตรา 67 (1) กับ
(2)
-
(1) Duress มีการข่มขู่ บังคับผู้กระทำให้
“กระทำการอันเป็นความผิด”
จากบุคคล ผู้กระทำผิดไม่ได้คิดริเริ่มในการกระทำผิด
-
(2) Necessity ไม่มีการบังคับ
แต่มีภัยที่ผู้กระทำจะต้องหลีกเลี่ยง ผู้กระทำเลือกวิธีและตัดสินใจกระทำผิดเพื่อหนีอันตรายนั้น
-
ประเด็นเรื่องภยันตรายที่ใกล้จะถึง
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 734/2529
การขุดหลุมเป็นทางระบายน้ำจากนาที่จำเลยทำลงคลองสาธารณะ เพื่อไม่ให้น้ำท่วมต้นข้าว
เมื่อฝนจะตกมากเท่านั้น เมื่อฝนยังไม่ตกน้ำยังไม่ท่วมต้นข้าว
จึงไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันจำเลยจำเป็นต้องกระทำ
ทั้งเมื่อฝนตกมากและน้ำท่วมต้นข้าว
จำเลยก็สามารถใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำออกจากนาได้ การกระทำของจำเลย
หาใช่ความจำเป็นตามกฎหมายไม่
-
อยู่ในที่บังคับ
หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยง หรือขัดขืนได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1750/2514
จำเลยถูกคนร้ายซึ่งมีสมัครพรรคพวกมากและมีอาวุธปืนครบมือ
ขู่บังคับให้เอาเรือรับส่งคนร้ายข้ามฟากไปทำการปล้นทรัพย์
ถือว่าจำเลยกระทำด้วยความจำเป็น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้
จึงไม่ต้องรับโทษ แม้จำเลยจะมิได้เป็นฝ่ายฎีกา
แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยกระทำความผิดด้วยความจำเป็น ไม่ต้องรับโทษ
ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้เป็นคุณแก่จำเลยได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2348/2525 (ฎ เน ตอน
8 น 1652) ศาลฎีกาเห็นว่า คนร้ายมีปืน และฆ่าผู้ตายให้เห็นเป็นที่ประจักษ์เช่นนั้น
จำเลยย่อมมีความกลัว และไม่กล้าขัดขืน
คดีน่าเชื่อว่าจำเลยขับเรือรับผู้โดยสารไปยังที่เกิดเหตุ
โดยไม่ทราบว่าเป็นคนร้ายจะไปฆ่าผู้ตาย
หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยจำต้องขับเรือไปส่งคนร้ายด้วยความจำเป็น
เพราะอยู่ภายใต้อำนาจของคนร้าย ซึ่งจำเลยไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ตาม ป.อ.ม.67
(1) เมื่อส่งคนร้ายแล้วก็ไปแจ้งความแก่ผู้ใหญ่บ้านทันที ดังนี้ จำเลยไม่ต้องรับโทษ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 8046/2542 จำเลยและ บ.
สามีอยู่ด้วยกันเพียงสองคนในบ้านพัก จำเลยเป็นหญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าจึงถูก
บ.ข่มเหงเอาได้ตลอดเวลา ทั้งจำเลยเป็นชู้กับผู้ตายซึ่งถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่
บ. อาจฆ่าจำเลยเสียได้จริง และไม่ปรากฏว่าจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตาย
เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจพาจำเลยมาถึงที่เกิดเหตุจำเลยร้องไห้ และเล่าถึงเหตุที่ บ.
บังคับให้นัดผู้ตายมาพบเพื่อฆ่า หากไม่นัดจะฆ่าจำเลย และผู้ตายทั้งสองคนให้ฟัง
ทั้งผู้ตายยอมทำตามที่จำเลยชักชวนโดยไม่ระแวงสงสัย
ชี้ให้เห็นว่าจำเลยร่วมฆ่าผู้ตาย เพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจของ บ.
ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ แต่การที่จำเลยถึงกับยอมร่วมมือกับ บ.
ฆ่าผู้ตาย ถือได้ว่าได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น
ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตาม ป.อ.
มาตรา 67 (1), 69 (อ เกียรติขจร ครั้งที่ 8/402
ถือว่าอาจขัดขืนได้ และอาจถือว่าเกินสมควรแก่เหตุ
ในแง่ที่ว่าสัดส่วนของอันตราย ที่จำเลยจะถูกสามีฆ่า เท่ากับที่ผู้ตายจะต้องได้รับ
คือความตายเหมือนกัน ศาลวินิจฉัยว่า
เกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็นเพราะภัยที่จำเลยจะได้รับ ยังห่างไกล)
-
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8649/2549 แม้การที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายซึ่งอายุไม่เกิน
15 ปี และจำเลยที่ 1 ไปยังพิพิธภัณฑ์เมืองโบราณบ้านโนนเมืองเพื่อให้จำเลยที่
1 ข่มขืนกระทำชำเรา แล้วขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปส่งบ้าน
จะถือได้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่
1 กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยมีอาวุธ ก่อนหรือขณะที่จำเลยที่
1 กระทำความผิด และจำเลยที่ 2 กระทำโดยมีเจตนาครบถ้วนตามหลักเกณฑ์องค์ประกอบความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตาม
ป.อ. มาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 86 แล้วก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดดังกล่าวด้วยความจำเป็น
เพราะถูกจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดลักษณะคล้ายมีดสปาตาร์
ยาวประมาณ 1 ฟุต จี้ที่คอของผู้เสียหายเลยมาถึงคอของจำเลยที่
2 จนผู้เสียหายเกิดความกลัวว่าจะถูกทำร้ายจึงร้องบอกจำเลยที่
2 ให้ขับรถจักรยานยนต์ต่อไปจนถึงที่เกิดเหตุ
ซึ่งเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและจำเลยที่ 2 ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้
อีกทั้งไม่ใช่ภยันตรายที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อขึ้นเพราะความผิดของตน
การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่
1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วยความจำเป็นพอสมควรแก่เหตุตาม
ป.อ. มาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 67 (2) จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับโทษ
ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดด้วยความจำเป็นนั้น
แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ แต่เมื่อคดีมีเหตุที่จำเลยที่
2 ไม่ควรต้องรับโทษ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา
225
-
เพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่น
พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยง
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1660/2511
มีผู้นำช้างไปล่ามไว้ใกล้กับสวนของจำเลยโดยจำเลยไม่รู้
กลางคืนช้างหลุดพังรั้วเข้าไปในสวนของจำเลย จำเลยพบช้างอยู่กลางไร่ข้าวโพดห่างประมาณ
4 วา และช้างเดินเข้าหาจำเลย จำเลยเข้าใจว่าเป็นช้างป่า จึงยิงไป 2 นัด ดังนี้
เป็นการกระทำโดยจำเป็น จำเลยไม่ต้องรับโทษฐานทำให้เสียทรัพย์
-
หมายเหตุ จำเลยไม่ผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ เพราะการเข้าใจว่าเป็นช้างป่า
เท่ากับไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ของผู้อื่น ถือว่าไม่มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย ตาม ม 59 ว 3 ประกอบ
ม 358 ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 59 วรรคแรก เมื่อไม่ต้องรับผิด
จึงไม่ต้องพิจารณาเหตุงดโทษ ลดโทษ ไม่ต้องอ้างเหตุจำเป็นตามมาตรา
67
-
เกิดอันตรายแล้ว ทำร้ายช้างมีเจ้าของ
เข้าใจว่าเป็นช้างป่า อ้างได้แค่ จำเป็น มีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ
เพราะไม่มีเจตนาพิเศษ “เพื่อป้องกัน” จึงอ้างป้องกันไม่ได้
-
ไม่มีการกระทำอันเป็นความผิด ไม่ต้องอ้างเหตุยกเว้นโทษ
-
คำพิพากษาฎีกาที่
140/2494 ขับรถยนต์รับคนโดยสารมาตามถนน
เผอิญเกิดยิงกันเกี่ยวกับการจราจล จึงขับรถหนี แม้จะเร็วจนถึงขนาดผิดกฎจราจร
ก็ได้รับยกเว้นโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา
49 (ป. อาญา มาตรา 67) เพราะถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อหลบหนีภยันตรายอันร้ายแรง
เมื่อเอาผิดในตอนนี้ไม่ได้ การวิ่งตัดหน้ารถยนต์ภายในระยะ 1 วา
คนขับห้ามล้อรถหยุดไม่ทัน ทั้ง ๆ ที่ห้ามล้อดี
วินิจฉัยว่าวิ่งตัดหน้ารถยนต์ในระยะกระชั้นชิด
ใช่วิสัยที่จะป้องกันมิให้รถยนต์ทับได้
การที่รถยนต์ทับคนที่วิ่งตัดหน้ารถนั้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย
ไม่ใช่เรื่องผู้ขับรถประมาท
-
ความผิดตาม พระราชบัญญัติ จราจรฯ
ได้รับยกเว้นโทษ ตาม ป. อาญา มาตรา 67 / ส่วนความผิดตาม
ป. อาญา
มาตรา 291 , 300 เมื่อไม่ได้กระทำโดยประมาท ก็ไม่มีความผิด ไม่ต้องอ้าง ป. อาญา
มาตรา 67
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น