มาตรา 61 ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่ง “โดยสำคัญผิด” ผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่
(1) “เจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง” (สังเกตตัวบทใช้คำว่า
“ผู้ใดมีเจตนากระทำ”)
-
เจตนาแรก เป็นเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลก็ได้
-
ไม่ใช้กรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
-
เจตนาแรกต้องถึงขั้นลงมือทำผิด
(2) ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่ง “โดยสำคัญผิด” /
มาตรา 61 มีผู้เกี่ยวข้องในการกระทำอยู่ 3 ฝ่าย (1) บุคคลผู้กระทำผิด
(2) บุคคลที่ผู้กระทำผิด เจตนาจะทำกระทำ และ (3)
บุคคลที่รับผลร้ายจากการกระทำ โดยสำคัญผิด
-
บุคคลที่รับผลร้ายจากการกระทำ จะต้องได้รับผลร้ายนั้นแล้ว
(จะถึงขั้นเป็นความผิดสำเร็จ หรือพยายามก็ได้)
-
ใช้กับ “วัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ”
อันเป็นประเภทเดียวกันเท่านั้น (ชีวิต ร่างกาย
เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน)
-
กรณีวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อนั้น
ต่างประเภทกับวัตถุที่ถูกกระทำ ต้องพิจารณาเรื่องการไม่รู้ข้อเท็จจริง
อันเป็นองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา 59 วรรคสาม
, ความสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ตามมาตรา 62 วรรคแรก และหลักเกณฑ์ตามมาตรา 62
วรรคสอง คือ กรณีเหตุตามมาตรา 59 วรรคสาม หรือมาตรา 62 วรรคแรก เกิดขึ้นโดยประมาท
ผู้กระทำต้องรับผิด กรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษ แม้กระทำโดยประมาท
(3) ผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่
-
เจตนาประสงค์ต่อผลโดยตรง
รับผิดตามเจตนาที่มีอยู่เดิม แม้สำคัญผิดในตัวบุคคล
-
เจตนาแรก (ฆ่า
, ทำร้ายร่างกาย , ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์) โอนไปยังผู้ถูกกระทำโดยสำคัญผิด
หรือผู้ที่รับผลร้าย
-
เจตนาแรก ประกอบด้วยเจตนาพิเศษ (ป้องกัน
, จำเป็น , บันดาลโทสะ , ฆ่าโดยไตร่ตรอง ฯลฯ) โอนไปยังผู้ถูกกระทำโดยสำคัญผิด
หรือผู้ที่รับผลร้าย
-
ผู้กระทำรู้องค์ประกอบภายนอกเท่าไร
รับผิดเท่านั้น
-
หากไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด
ถือว่าไม่มีเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสาม ผู้กระทำไม่ต้องรับผิด
-
หากไม่รู้ข้อเท็จจริง อันทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษหนักขึ้น
ตามมาตรา 62 วรรคท้าย)
-
ผู้กระทำรับผิดไม่เกินข้อเท็จจริง
อันเป็นองค์ประกอบความผิดนั้น
-
ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดต่อ “บุคคลที่ผู้กระทำผิด เจตนาจะทำกระทำ”
อีก (ไม่ต้องปรับบทเรื่องการพยายามกระทำผิด
โดยไม่อาจบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ ตามมาตรา 81) ผู้กระทำต้องรับผิดต่อผู้รับผลร้ายฝ่ายเดียว
-
มาตรา 61 แม้การกระทำนั้น มีเจตนาโดยสำคัญผิด
ซึ่งเกิดขึ้นโดยประมาท มาตรา 59 วรรคสี่ ไม่ต้องปรับประมาทอีก
เพราะต้องรับผิดในส่วนของ “เจตนา” ตาม
มาตรา 59 วรรค 2 ต่อผู้รับผลร้ายอยู่แล้ว
-
ถือว่าประสงค์ต่อผลแล้ว
แม้ผิดตัว
-
(ดูอ้างอิง ขส อ 2533 (1) (อ
เกียรติขจรฯ 8/177) ให้ยกตัวอย่างกรณีของ ม 61
ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น 1 ตัวอย่าง (2)
หากไม่มีมาตรา 61 ผลการวินิจฉัยตัวอย่างที่ยกมานั้น
จะเปลี่ยนไปหรือไม่ อย่างไร)
-
ดำ ประสงค์จะฆ่าขาว เมื่อแดงเดินมา
ดำยิงแดง โดยเข้าใจว่ายิงขาว ดำผิด มาตรา 288 + 59 ว 2 +
61 / แม้ไม่มีมาตรา 61 การเข้าใจผิดของดำ
ก็ยังครบองค์ประกอบภายในตาม มาตรา 288 คือ รู้ว่า “การยิง
เป็นการฆ่า” + “รู้ว่าแดง เป็นผู้อื่น” และเมื่อเข้าองค์ประกอบภายนอก คือ มีการฆ่า และฆ่าผู้อื่น
ครบโครงสร้างความรับผิด จึงต้องรับผิดตามกฎหมายเหมือนเดิม
-
อย่าตอบว่าเจตนาต่อผู้เสียหายโดยตรง
เพราะเป็นเรื่องกฎหมายปิดปากเท่านั้น (อก/130)
-
การกระทำโดยสำคัญผิดต่อบุคคลตาม
ม 61 นี้ ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดต่อ “บุคคลที่ตนตั้งใจ
จะกระทำจริง” อีก (ต่างกับ
การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 ซึ่งต้องรับผิดต่อบุคคลที่มุ่งหมายจะกระทำต่อ
และรับผิดต่อบุคคลที่รับผลร้ายจากการกระทำโดยพลาดนั้นด้วย)
-
การกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 61
ต้องเกิดผลแก่บุคคลที่สาม
-
เมื่อเจตนาโอนแล้ว ไม่ต้องรับผิด ม 80-81
ต่อความประสงค์เดิม เว้นแต่ ม 61 แล้วมีการกระทำ
“โดยพลาด” ตาม ม 60 ด้วย (ม 60 รับผิดต่อเจตนาแรกด้วย)
(อก/130)
-
ม 61 ใช้กับ
“วัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ” อันเป็นประเภทเดียวกันเท่านั้น
(ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน)
-
จะยิง ก.แต่เข้าใจผิด
ยิงตอไม้แล้วไปถูก ข. (รับผิด ต่อ ก.ม.288+59+81
รับผิดต่อ ข.288 + 59 + 60 ไม่ใช่ 61)
(อก/130)
-
จะยิงสัตว์ของ ก.ยิงไปที่พุ่มไม้กลายเป็น ข.แล้ว ข.ตาย (รับผิดต่อ ก.ปรับ ม 358+81
ส่วนรับผิดต่อ ข.ด้านเจตนานั้น ปรับ ม 59
ว 3 ไม่ต้องรับผิด
ด้านประมาทนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง) (อก/130)
-
มาตรา 365 (3) บุกรุกที่ดินของดำ เข้าใจว่าบุกรุกที่ดินของขาว (อก/131)
-
การกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 61
“แต่วัตถุที่กระทำ ไม่ตรงกับความเข้าใจ” ต้องรับผิด
ม 81 ต่อความประสงค์แรก
-
จะยิงสุนัขของดำ
แต่ยิงนายแดงในพุ่มไม้
-
รับผิดต่อดำ ตามมาตรา 358+81
-
รับผิดต่อแดง ตามมาตรา 291+59
ว 4+62 ว 2 ขึ้นอยู่กับ
ประมาท ตามมาตรา 59 ว 4 หรือไม่
ถือว่าไม่เจตนาต่อแดง (อก/132)
-
ตั้งใจจะยิง “สุนัขของดำ”
แต่ยิง “นายแดง” ซึ่งในพุ่มไม้
โดยไม่ดูให้ดีเสียก่อน (ประมาท) สุนัขของดำมีอยู่จริง
แต่ไม่อยู่บริเวณนั้น
-
มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ ตาม ม 59 ว 3
และองค์ประกอบภายนอกครบ ม 358 (สุนัขของดำมีอยู่จริง)
แต่การกระทำไม่บรรลุผลแน่แท้ เพราะสุนัขของดำไม่อยู่บริเวณนั้น
ในขณะนั้น ปรับ ม 81
-
เจตนาฆ่า นั้นไม่มี
เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ตาม มาตรา 59 วรรค 2 , 3 ไม่ผิด มาตรา 288
-
แต่การไม่รู้ข้อเท็จจริงนั้น
เกิดขึ้นด้วยความประมาท ตามมาตรา 59 ว 4 ซึ่ง ตามมาตรา 62 วรรค 2
ให้ต้องรับผิดเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้ผู้กระทำต้องรับโทษ แม้ได้กระทำโดยประมาท ซึ่งกรณีความผิดต่อชีวิต
ที่กฎหมายให้รับผิดแม้กระทำโดยประมาท ได้แก่ ม 291 / ความสำคัญผิดเกิดโดยประมาท
+ ความตาย จึงต้องรับผิดตามมาตรา 291
-
ตั้งใจจะยิง “นายดำ”
แต่ยิง “สุนัขของแดง” ซึ่งในพุ่มไม้
โดยไม่ดูให้ดีเสียก่อน (ประมาท)
-
มีเจตนาฆ่า ตามมาตรา 59 ว 3
และองค์ประกอบภายนอกครบ ตามมาตรา 288 (นายดำมีชีวิตอยู่)
แต่การกระทำไม่บรรลุผลแน่แท้ เพราะนายดำไม่อยู่บริเวณนั้น ในขณะนั้น
ปรับบทผิดพยายามโดยไม่บรรลุผลได้อย่างแน่แท้ ตามมาตรา 81
-
เจตนาทำให้เสียทรัพย์ นั้นไม่มี
เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา 59 ว 2 , 3 ไม่ผิด ตามมาตรา 358
-
แต่การไม่รู้ข้อเท็จจริงนั้น
เกิดขึ้นด้วยความประมาท ตามมาตรา 59 ว 4 ซึ่งตามมาตรา 62 ว 1
ให้ต้องรับผิดเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้รับผิด แม้ได้กระทำโดยประมาท
ซึ่งกรณีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์นั้น ไม่มีกฎหมายให้รับผิด เมื่อกระทำโดยประมาท
จึงไม่ต้องรับผิด ตามมาตรา 59 ว 1
-
กรณีไม่เกิดผลสำเร็จ
ต่อผู้ที่รับผลร้าย ผู้กระทำรับผิดฐานพยายามกระทำความผิด ตาม มาตรา 80
-
ตั้งใจจะยิงดำ แต่ยิงขาวไม่ถูก
หรือไม่ตาย โดยสำคัญผิดในตัวบุคคล (อก/131)
-
การกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 61
อาจเกี่ยวกับ ม 62 ว 1
-
จะลักทรัพย์ของภรรยา
แต่ลักทรัพย์ของคนอื่น ปรับบท เข้ามาตรา 61 + 62 ว 1
+ 334 ไม่ต้องรับโทษตาม ตามมาตรา 71
-
เจตนาประสงค์ต่อผลโดยตรง
รับผิดตามเจตนาที่มีอยู่เดิม แม้สำคัญผิดในตัวบุคคล (รู้องค์ประกอบภายนอกเท่าไร
รับผิดเท่านั้น)
-
จะฆ่าเจ้าพนักงาน ม 289 (4) ต่อนายดำตำรวจ แต่ทำกับนายขาวซึ่งเป็นตำรวจ (อก/133)
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 90/2531
จำเลยให้พวกมาร้องเรียก พ. ให้ออกมาจากบ้าน โดยจำเลยแอบซุ่มยิงอยู่
แม้บังเอิญผู้ตายลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้านลงบันได เพื่อจะไปถ่ายปัสสาวะข้างล่าง
แล้วถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยสำคัญผิดว่าเป็น พ.ก็ตาม
การกระทำของจำเลยก็เป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
-
เจตนาประสงค์ต่อผลโดยตรง
รับผิดตามเจตนาที่มีอยู่เดิม แต่รับผิดไม่เกินจริง
-
จะฆ่าเจ้าพนักงาน ม 289 (2) แต่ฆ่าคนธรรมดา รับผิด ม 288
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1906/2528
จำเลยโกรธแค้นพวกที่รุมทำร้ายจำเลย
ตั้งใจจะไปฆ่าเพื่อเป็นการล้างแค้น เมื่อพบผู้ตาย
จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายเป็นพวกที่รุมทำร้ายตน จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทันที ดังนี้
เป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
-
แม้จะการกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 61
เกิดขึ้นโดยประมาท ม 59 ว 4 ไม่ต้องปรับประมาทอีก เพราะต้องรับผิดในส่วนของ “เจตนา” ตาม ม 59 ว 2 ต่อผู้รับผลร้ายอยู่แล้ว
-
แต่หากเป็น
การสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ตามมาตรา 62 ว 1 โดยประมาทตามมาตรา 59 ว 4 ต้องปรับ
ตามมาตรา 62 ว 2 ด้วย (อก/134)
-
เจตนาแรกต้องถึงขั้นลงมือทำผิด
-
ตัวบทใช้คำว่า “ผู้ใดมีเจตนากระทำ” ดังนั้น หากดักรอเพื่อฆ่านายดำ
ขณะนั่งเช็ดปืนอยู่ นายแดงผู้ตายเดินมา บังเอิญกระสุนลั่นไปถูกนายแดงตาย / การนั่งขัดปืน แล้วกระสุนลั่นไป ไม่ใช่กระทำโดยเจตนา ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา
289 (4) เพราะยังไม่มีการกระทำโดยเจตนา
และเมื่อยังไม่มีเจตนากระทำ จึงไม่ปรับ มาตรา 61 / แต่หากปืนลั่น
เพราะประมาท ก็รับผิดตามมาตรา 291 + 59 ว 4 ซึ่งกรณีประมาท
ไม่ใช้มาตรา 61 มาปรับความรับผิดเช่นกัน
-
ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา
61
-
(ขส อ 2520/ 6) กลมจ้างเบี้ยวไปฆ่าเหลี่ยม บิดาของกลม / เบี้ยวไม่รู้ไปถามเหลี่ยม
เหลี่ยมชี้แบน จึงยิงแบนตาย / กลมผิด ม 289 (4) + 84
(สังเกต ม 289 (1)) / เบี้ยว ผิด ม 289
(4) + 61 / เหลี่ยม ไม่ผิดสนับสนุน
เพราะไม่มีเจตนาให้ความสะดวกหรือช่วยเหลือ และไม่ผิดผู้ใช้
เพราะไม่ได้ก่อให้เบี้ยวตัดสินใจ
-
กรณีของเหลี่ยม การชี้ไปที่ผู้อื่น
ไม่ได้มีเจตนาร่วมกับมือปืน จึงไม่ต้องรับผิดในการกระทำของมือปืน
แม้เล็งเห็นผลได้ว่า มือปืนจะยิงผู้อื่นนั้น แต่ผู้ชี้ไม่มีการกระทำ อันเป็นการฆ่า
และไม่ต้องรับผิดในการกระทำของมือปืน เพราะไม่มีเจตนาร่วมกับมือปืน
ไม่ผ่านโครงสร้างเรื่องการกระทำ และเจตนา ผู้ชี้ไม่ต้องรับผิด
จึงไม่ต้องอ้างจำเป็น หรือป้องกัน
-
ต่างกับกรณีที่เป็นผู้สนับสนุน
ชี้ให้มือปืนรู้ว่า คนที่ต้องการจะฆ่าเป็นผู้ใด
-
(ขส อ 2523/ 5) ใหญ่ไปแอบซุ่มยิง แต่ยิงผิดคนโดยสำคัญผิด ถูกนายโต เป็นรอยไหม้
แล้วเลยไปถูกบิดานายใหญ่ สาหัส / ต่อโต ผิด ม 289 (4)
+ 80 + 61 ฎ 70/2493 / ต่อบิดา ผิด ม 289
(4) + 60 + 61 ไม่รับผิด ม 289 (1) / เป็นกรรมเดียว
จะโทษพยายามฆ่าโต หรือบิดาก็ได้ โทษเท่ากัน ฎ 241-2/2504
-
(ขส อ 2529/ 5) ดักยิงขโมย แต่ยิงเงาต้นไม้ โดยสำคัญผิด พลาดไปถูกม้าแดงตาย
และแดงตกม้าสาหัส / ซุ่มยิง ผิด ม 289 (4) + 81 ไม่เป็นป้องกัน ม 68 / ถูกม้าแดงตาย ไม่มีเจตนา ม 358
ไม่ผิด (และไม่ใช่พลาด ม 60 ต่างเจตนา) / แดงสาหัส ผิด ม 300
มาตรา 62 ข้อเท็จจริงใดถ้ามีอยู่จริง
จะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง
แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำ “สำคัญผิด”
ว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด หรือได้รับยกเว้นโทษ
หรือได้รับโทษน้อยลง แล้วแต่กรณี
ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่ง
มาตรา 59 หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้
“เกิดขึ้นด้วยความประมาท” ของผู้กระทำความผิด
ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษ แม้กระทำโดยประมาท
บุคคลจะต้องรับ “โทษหนักขึ้น โดยอาศัยข้อเท็จจริงใด”
บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น
-
มาตรา 62 วรรค
1 ต้องมีเจตนา (ประสงค์ต่อผล ,
ย่อมเล็งเห็นผล หรือเจตนาโดยพลาด) ก่อน หากขาดเจตนา ตามมาตรา
59 วรรค 3 ปรับ มาตรา 59 วรรค 3 ไม่ใช่ มาตรา 63 วรรค 1
-
เงื่อนไข
ให้ดูองค์ประกอบภายนอกก่อน หากขาดองค์ประกอบภายนอก
ปรับไม่ผิด (ข้อสอบคัดเลือกผู้ช่วยผู้พิพากษา) หรือ ปรับ ม 81 พยายามไม่อาจบรรลุผล (ข้อสอบคัดเลือกอัยการผู้ช่วย) หากไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด
พิจารณา “ประมาท” ต่อตามมาตรา 59
วรรค 3+ มาตรา 62 วรรค 2(อก/151)
-
คำพิพากษาฎีกาที่
1660/2511 มีผู้นำช้างไปล่ามไว้ใกล้กับสวนของจำเลยโดยจำเลยไม่รู้
กลางคืนช้างหลุดพังรั้วเข้าไปในสวนของจำเลย
จำเลยพบช้างอยู่กลางไร่ข้าวโพดห่างประมาณ 4 วา และช้างเดินเข้าหาจำเลย จำเลยเข้าใจว่าเป็นช้างป่าจึงยิงไป
2 นัด เป็นการกระทำโดยจำเป็น จำเลยไม่ต้องรับโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ (ความสำคัญผิดของจำเลย
ถึงขั้นขาดองค์ประกอบภายนอก ตามมาตรา 59 ว 3 เนื่องจากจำเลยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์มีเจ้าของ
จำเลยจึงไม่มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ “ผู้อื่น” จำเลยไม่ต้องรับผิด
ตามโครงสร้างความรับผิด และแม้ความเข้าใจผิด เกิดจากความประมาท
ก็ไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยประมาท จึงไม่ต้องรับผิด)
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 89/2519 จำเลยเข้าใจว่าเสารั้วของโจทก์ที่ขุดหลุมปักไว้อยู่ในที่ดินของจำเลย
จำเลยจึงถอนออก โดยเจตนาใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา1336, 1337 ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 358 (อ จิตติ
เห็นว่าครบองค์ประกอบภายนอก แต่สำคัญผิดในสิทธิตามกฎหมายแพ่งว่า “ตนมีสิทธิถอนเสาออกไปได้” ตามมาตรา 62 ทำให้ไม่เป็นความผิด/ หากเข้าใจว่า “เป็นเสาของตน” ความสำคัญผิดนั้น
ถึงขั้นไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอก ถือว่าไม่มีเจตนา ตามมาตรา 59
ว 3)
-
สำคัญผิดในข้อเท็จจริง ที่หากมีอยู่จริง จะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือสำคัญผิดให้ต้องป้องกัน
-
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1954/2546 ผู้เสียหายที่ 1 สวมกางเกงขายาวสีกากี สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวเข้าไปขอตรวจค้นตัวจำเลยโดยแจ้งว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ แต่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจหรือแสดงหลักฐานให้เห็นว่าตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการตามหน้าที่ กรณีอาจทำให้จำเลยเข้าใจผิดไปได้
แม้จำเลยจะต่อสู้ชกต่อยหรือใช้มีดแทงผู้เสียหายที่ 1 เพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้เสียหายที่ 1 ตรวจค้นและจับกุม จำเลยก็หามีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ไม่
แม้ในชั้นสอบสวนจำเลยจะให้การรับสารภาพฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่า
โดยลำพังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังเพื่อลงโทษจำเลยได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3869/2546 ในช่วงเวลาเกิดเหตุในละแวกบ้านจำเลยมีโจรผู้ร้ายชุกชุม และก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยถูกคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน คืนเกิดเหตุผู้ตายได้ปีนเข้าบ้านจำเลยทางช่องลมโดยปราศจากเหตุสมควร ย่อมทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายและในขณะนั้นจำเลยย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ตายจะมีอาวุธหรือไม่ เพราะในห้องที่เกิดเหตุมืดและเป็นเวลากะทันหัน ถ้าเป็นคนร้ายซึ่งจะมาทำร้ายจำเลยจริงแล้ว การที่จะให้จำเลยรออยู่จนกว่าคนร้ายจะแสดงกิริยาทำร้ายแล้ว จำเลยก็อาจได้รับอันตรายก่อนที่จะทำการป้องกันได้ทันท่วงที และจำเลยก็ยิงผู้ตายไปเพียง 1 นัด เมื่อผู้ตายล้มลงจำเลยก็มิได้ซ้ำแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงพอสมควรแก่เหตุ
เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยสำคัญผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก
-
กรณีไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา
59 วรรค 3 และการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตาม
มาตรา 62 วรรค 1 ให้พิจารณาและตอบถึงเรื่องประมาทต่อไป ตามมาตรา 62 วรรค 2
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2483/2528
จำเลยใช้อาวุธปืนขู่ผู้ตาย มิให้เอาถ่านมาป้ายหน้าจำเลย
โดยจำเลยไม่รู้ว่าอาวุธปืนนั้นมีกระสุนปืนบรรจุอยู่
ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามที่โจทก์ฟ้อง
แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงออกมาขู่ผู้ตาย
โดยจำเลยไม่ดูเสียให้ดีก่อนว่ามีกระสุนบรรจุอยู่หรือไม่
เป็นเหตุให้กระสุนปืนลั่นไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย
ดังนี้จำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
(จำเลยไม่รู้ว่าปืนมีกระสุนบรรจุ ถือว่าไม่มีเจตนาฆ่าตามมาตรา 59 วรรคสาม
แต่เป็นการกระทำโดยประมาท “ประมาท” + ความตาย ตามมาตรา 62 ว 2 + มาตรา 59 ว
4 + มาตรา 291)
-
การป้องกันตาม ม 68 โดยสำคัญผิดตาม มาตรา 61 อาจรับผิดฐานประมาท ตาม มาตรา
62 ว 2 (อก/139)
-
การกระทำเพื่อป้องกัน โดยเกิดจากสำคัญผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่
1094/2501 ยิงคนตายในที่มืด โดยเล็งไปทางที่คนเห็น
เพราะเข้าใจว่าเป็นคนร้ายมาแย่งชิงทรัพย์ ไม่พิจารณาให้รอบคอบ
เป็นความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา โดยป้องกันทรัพย์เกินกว่าเหตุ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 872/2510 (อพ 63) จำเลยใช้ปืนยิงเด็ก
ซึ่งส่องไฟหากที่ริมรั้วบ้านจำเลยถึงแก่ความตาย
โดยจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายจะมาฆ่าพี่จำเลย
เป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน มีความผิดตาม มาตรา
288,69 (สำคัญผิดว่ามีอันตรายต้องป้องกัน เข้ามาตรา 62
ส่วน มาตรา 61 เป็นเรื่องสำคัญผิดตัว)
-
ส่วนของเจตนา เกิดจากการสำคัญผิด
-
ยิงโดยคิดว่าเป็นคนร้าย + มีพฤติการณ์เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ผิด ตามมาตรา 288
+ 69 + 62
-
ตามมาตรา 62 ให้ต้องรับผิดหากมีกฎหมายบัญญัติให้รับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
จึงวินิจฉัยด้านประมาทต่อไป
-
ส่วนของประมาท
-
ความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยประมาท ตามมาตรา
62 + ความตาย ผิด ตามมาตรา 291 กรรมเดียว
ตามมาตรา 90 ลงโทษตามส่วนเจตนา ซึ่งเป็นบทหนัก
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 155/2512
เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหมายค้นและหมายจับไปจับกุมจำเลยที่บ้านในเวลาวิกาล
โดยได้ปีนบ้านและรื้อฝาบ้านจำเลยเข้าไปจำเลยสำคัญผิดคิดว่าโจรเข้าปล้น
เพราะจำเลยเคยถูกปล้นโดยคนร้ายปลอมเป็นตำรวจมาแล้ว จึงใช้ปืนยิงตำรวจบาดเจ็บ
พฤติการณ์ของจำเลย จึงมีลักษณะเป็นการป้องกันสิทธิของตนและของผู้อื่น
และป้องกันทรัพย์ของจำเลยให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
และเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่
253/2512 ผู้ตายได้บุกรุกเข้าไปในห้องนอน อันเป็นเคหสถานของจำเลยยามวิกาล
อันเป็นการละเมิดกฎหมายทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายเป็นขโมยหรือคนร้าย เข้าไปทำการประทุษร้ายต่อทรัพย์
หรือร่างกายภริยา จำเลยจึงใช้ดุ้นฟืนตีผู้ตายไป 1 ที การที่จำเลยใช้ดุ้นฟืน
ซึ่งโดยสภาพไม่ใช่อาวุธร้ายแรงตีผู้ตายไปในขณะนั้นเพียงทีเดียวโดยไม่เจาะจง
เป็นลักษณะที่กระทำพอสมควรแก่เหตุ
ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 68 ประกอบกับมาตรา 62 ด้วย จำเลยไม่มีความผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 266/2514
ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ตายกับจำเลยเคยมีสาเหตุกัน
ผู้ตายเคยพกปืนและเคยทำท่าจะไล่ยิงจำเลย คืนเกิดเหตุ ผู้ตายเข้าใจว่าจำเลยแกล้งขว้างผู้ตาย
ผู้ตายหันหลังกลับเข้าหาจำเลยในท่านั่งยองๆ ห่างกัน 2 วา
พร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทำท่าจะล้วงอะไรออกมา และพูดทำนองจะฆ่าจำเลย
ทั้งตรงที่เกิดเหตุมีแสงสว่างเพียงสลัว ๆ และจำเลยก็อายุเพียง 17 ปี พฤติการณ์เช่นนี้
ย่อมมีเหตุอันสมควรให้จำเลยสำคัญผิดเข้าใจว่าผู้ตายมีปืน และล้วงลงไปเพื่อยิงจำเลย
อันนับได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
จำเลยจึงชอบที่จะใช้สิทธิกระทำเพื่อป้องกันตนได้
และการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตนไปทันทีเพียง 1 นัด
ย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันชีวิตของตนพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่
2716/2535 โจทก์ร่วมทั้งสองเดินผ่านสวนของจำเลย ไปทางหน้าบ้านจำเลยในเวลากลางคืน
โดยไม่ได้ร้องบอกว่าขออาศัยเดินผ่าน เป็นเหตุให้จำเลยสำคัญผิด
ว่าเป็นคนร้ายที่เข้ามาลักทรัพย์ จำเลยยิงโจทก์ร่วมทั้งสอง
ขณะเดินห่างจากประตูรั้วหน้าบ้านไปแล้ว เป็นการป้องกันทรัพย์สิน โดยสำคัญผิด
ซึ่งเกินสมควรแก่เหตุ และที่จำเลยยิงโจทก์ร่วมทั้งสอง ในระยะไกลประมาณ 35 เมตร
กระสุนปืนถูกที่ขาด้านหลังทั้งสองข้างของโจทก์ร่วมที่ 1
แสดงว่าจำเลยเล็งยิงระดับต่ำ
เพื่อให้ถูกเพียงขาของคนร้ายได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น มิได้เจตนาที่จะฆ่าให้ตาย
จำเลยผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกาย ตาม ป.อ. มาตรา 295 + มาตรา 62, 69
-
การกระทำโดยสำคัญผิด ตามมาตรา 62 ว่ามีเหตุ ตามมาตรา 305
แพทย์ทำแท้ง ต้องใช้ มาตรา 62 (อก/139)
-
การกระทำโดยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายยินยอม
-
ความยินยอมในความผิดบางข้อหา
ถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอก เช่นข้อหา ข่มขืน ตามมาตรา 276 ผู้ใด “ข่มขืนหญิงอื่น” หากมีการยินยอม ก็ไม่เป็นการข่มขืน
ความสำคัญผิดในเรื่องยินยอมนี้ ถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอก ซึ่งตามแนว อ เกียรติขจร
ต้องปรับด้วยมาตรา 59 วรรคสาม
-
ความยินยอมในความผิดบางข้อหา
ไม่ขาดองค์ประกอบภายนอก แต่ถือว่าไม่มีเจตนากระทำผิด กรณี ม 362 / 358 /
350 / 334
-
“ความยินยอมอันบริสุทธิ์
ไม่ขัดศีลธรรม และมีอยู่จนถึงขณะกระทำ เป็นข้อยกเว้นให้ไม่เป็นความผิดได้” ฎ 1403/2508
-
การกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 62
ว่ามีอำนาจตามกฎหมายแพ่ง เช่น
เสาของคนอื่นมาปักในที่ดินเรา รู้ว่าเป็นของคนอื่นแต่คิดว่ามีสิทธิถอนทิ้งได้ อ้าง
มาตรา 62 วรรคแรก ไม่รับผิด
แต่หากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสาของตนเอง ปรับ มาตรา 59 วรรค 3
ขาดองค์ประกอบ ไม่ต้องรับผิด (อก/140)
-
การกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 62
ว่ามีอำนาจตาม ป.วิ.อาญา
ม.57, 66, 78 เช่น จับโดยสำคัญผิดว่าเป็นผู้ร้าย
แต่จับถูกต้องตามเจตนา ไม่ต้องอ้าง มาตรา 62 วรรค 1 แต่หากจับผิดคน อ้าง มาตรา 62 วรรค 1 แล้วพิจารณาเรื่องประมาทต่อไป แม้ไม่ผิด มาตรา 310 โดยอ้าง
มาตรา 62 วรรค 1 ได้ ก็อาจผิด มาตรา
311 ตาม มาตรา 62 วรรค 2) (อก/140)
-
การไม่รู้กฎหมายแพ่ง
ถือเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ตาม ม 62 ได้ (การไม่รู้กฎหมายอาญา ปรับ ม 64 (อก/144))
-
ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
แต่เข้าใจโดยสุจริต ไม่ผิด ม.276, 284, 310 ฎ 142
430/2532 อาจผิด ม 310 ได้ แต่อ้าง ม 62
ได้
-
บังคับชำระหนี้โดยตนเอง
ไม่ได้ดำเนินการทางศาลเพื่อหักหนี้ หากไม่เกินจำนวนหนี้เท่ากับคิดว่าเป็นประโยชน์ที่ควรได้โดยชอบ
ไม่ “ทุจริต” แต่ อ
เกียรติขจรเห็นว่าเป็น กรณี ม 62 ว 1 สำคัญผิดเกี่ยวกับสิทธิทางกฎหมาย
ฎ 2278/2515 ฎ 251/2513 (อก/144)
อาจผิด ม 309 ได้
ขู่เอาเงินที่ถูกเล่นพนันโกงคืน ฎ 1018/2529 (อก/145)
เอาเครื่องสูบน้ำไป เพื่อให้จ่ายค่าแรง ราคาทรัพย์มากกว่าหนี้ ผิด ม
334 ฎ 2549/2532 (อก/146-7)
-
จับลูกสาวไป
ให้แม่โอนที่ดินชำระหนี้ ของแม่จำเลย โดยเชื่อว่าทำได้ ไม่ถือเป็นค่าไถ่ ไม่ผิด ม 313
ฎ 5255/2534 (อก/137)
-
การป้องกันเกินกว่าเหตุ ตาม ม 69
โดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตาม ม 62 เพราะประมาท
/ ส่วนของเจตนารับผิด ม 288 + ม 69
+ ม 62 ว 1 + ม 62 ว 2 / ส่วนของประมาท
รับผิด ม 291 ปรับ ม 90 ลง ม 288
+ มาตรา 69 (อก/151 ฎ 872/2510)
-
เรื่องขาดองค์ประกอบภายนอก ตาม ม 59
ว 3 และสำคัญผิดตาม ม 62 ว 1 และข้อสังเกต (อก/151-4)
-
ประเด็นเปรียบเทียบ กรณีความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยประมาท
แต่มีเหตุยกเว้นความผิด กับมีบรรเทาโทษ
-
อ เกียรติขจร (เน 51/6/1) เห็นว่า การกระทำโดยประมาท
ต้องไม่ใช่การกระทำโดยมีเจตนา เพราะตัวบทใช้คำว่า การกระทำโดยประมาท
ได้แก่การกระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา ซึ่งกรณีนี้ “ความสำคัญผิดที่เกิดขึ้นก่อนการลงมือยิง”
นั้น เป็นความสำคัญผิดโดยประมาท ต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้ตาม ม 62 วรรคสองด้วย
ส่วนตอนที่ “ลงมือยิง” นั้น เป็นการกระทำโดยเจตนา วินิจฉัยในประเด็นนี้ไปตามปกติ
-
กรณีแรก เจตนาฆ่า
โดยมีเหตุป้องกัน แต่เกินสมควรแก่เหตุ เกิดจากความประมาททำให้สำคัญผิด
-
“เจตนา” เจตนาฆ่า
โดยมีเหตุป้องกัน แต่เกินสมควรแก่เหตุ เกิดจากสำคัญผิด รับผิด มาตรา 59 ว 2 + 288 / 68 + 69 + 62 ว 1
(ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้) ความสำคัญผิดเกิดจากประมาท
พิจารณาเรื่องประมาทต่อ ตาม ม 62 ว 2
-
“ประมาท” + ความตาย มาตรา 62 ว
2 + มาตรา 59 ว 4 + 291
-
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ปรับ มาตรา 90 รับผิดในส่วนของเจตนา มาตรา 59 ว 2 + 288 / 68 + 69
-
กรณีที่สอง เจตนาฆ่า
โดยมีเหตุป้องกันไม่เกินสมควรแก่เหตุ เกิดจากความประมาททำให้สำคัญผิด
-
“เจตนา” เจตนาฆ่า
โดยมีเหตุป้องกัน เกิดจากสำคัญผิด รับผิด มาตรา 59 ว
2 + 288 / 68 + 62 ว 1 (การกระทำส่วนนี้ ไม่มีความผิด)
แต่ความสำคัญผิดเกิดจากประมาท พิจารณาเรื่องประมาทต่อ ตาม ม 62 ว 2
-
“ประมาท” + ความตาย มาตรา 62 ว
2 + มาตรา 59 ว 4 + 291
-
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ปรับ มาตรา 90 รับผิดในส่วนของประมาท มาตรา 59 ว 4 + 291
-
กรณีไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะสำคัญผิดในข้อเท็จจริง
-
คำพิพากษาฎีกาที่
1717/2543 จำเลยมีอาชีพรับราชการ ได้พบปะผู้คนมีประสบการณ์ในชีวิตพอสมควร
พอประมาณการได้ว่าเด็ก หรือเยาวชนนั้นมีอายุประมาณเท่าใด
จำเลยรู้จักกับผู้เสียหายมาก่อนเกิดเหตุเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 สัปดาห์ เพราะรับสอนผู้เสียหายขับรถยนต์
กรณีจะเป็นเรื่องสำคัญผิดในข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ป.อ.
มาตรา 62 วรรคแรก จะต้องมีพฤติการณ์หรือเหตุจูงใจให้สำคัญผิดโดยสุจริต
มิใช่คาดคะเนเอาเอง ดังที่จำเลยเบิกความ
เมื่อจำเลยกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี
ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม มีความผิดตาม มาตรา 227
วรรคแรก และการที่จำเลยพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราที่ห้องของโรงแรมที่เกิดเหตุ
เป็นการล่วงอำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหายโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร
เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาตาม มาตรา 317 วรรคสาม
-
คำพิพากษาฎีกา มาตรา 62
-
คำพิพากษาฎีกาที่
1074/2525 จำเลยได้รับใบอนุญาต ให้ก่อสร้างอาคารจากเทศบาลแล้ว
เมื่อฝ่าฝืนต่อเติมอาคารผิดไปจากที่ได้รับอนุญาต จะอ้างความเข้าใจโดยสุจริตว่า
พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ยังไม่ได้ประกาศใช้ในเขตเทศบาลที่อนุญาต
เพื่อไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงตาม ป.อ.ม.62 ไม่ได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่
1199/2530 กรณีมีเหตุอันอาจทำให้เข้าใจว่ายุ้งข้าวที่จำเลยรื้อ
เป็นของบิดามารดาจำเลย ทั้งปรากฏว่าจำเลยจัดการให้รื้อในเวลากลางวัน
ต่อหน้าบุคคลหลายคน อันเป็นการกระทำโดยเปิดเผย เมื่อพนักงานสอบสวนไปถึงที่เกิดเหตุ
จำเลยก็แสดงตัวยอมรับว่าเป็นผู้รื้อ
โดยอ้างว่ายุ้งข้าวดังกล่าวเป็นของบิดามารดาจำเลยดังนี้
แสดงให้เห็นความบริสุทธิ์ใจของจำเลย ว่าจำเลยมิได้กระทำโดยทุจริต
จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
-
คำพิพากษาฎีกาที่
430/2532 จำเลยกับผู้เสียหายแต่งงานกันตามลัทธิศาสนาอิสลาม มีบุตรด้วยกัน 1 คน
ต่อมา แยกกันอยู่ แต่มิได้หย่าขาดจากการ เป็นสามีภริยากัน
การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปกักขัง เพื่อกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา
จึงอาจกระทำไป โดยเข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิกระทำได้ อันเสมือนกับทำโดยวิสาสะ
ย่อมไม่เข้าลักษณะกระทำ โดยมีเจตนาร้าย ไม่เป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร
หน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย
-
มาตรา 62 วรรคท้าย
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 980/2519 แม้ผู้ที่ร่วมในการปล้น ไม่รู้ว่าพวกของตนมีอาวุธ ก็เป็นความผิดตามมาตรา 340
วรรคสอง (การมีอาวุธในการปล้น
ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษหนักขึ้นตาม ม 62 ว ท้าย
ซึ่งหากจะต้องรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำต้องรู้ด้วย การรู้หรือไม่นั้น
ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง / หากข้อเท็จจริงยุติว่า ไม่รู้
ก็ไม่น่าจะต้องรับโทษหนักขึ้น)
-
ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา
62
-
(ขส เน 2517/ 5) วัยรุ่นเมาโห่ร้อง นายแม่นไม่ดูให้ดี คิดว่าพวกปล้น ยิง 5 นัด ถึงตาย / นายแม่น ผิดฐานฆ่าผู้อื่น
แต่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ม 288 + 68 + 69 (+ ซึ่งเกิดจากการสำคัญผิด
ตาม ม 62 ว 1) และผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาท
ม 291 + 62 ว 2 (เนื่องจากความสำคัญผิด
เกิดจากความประมาท ไม่ดูให้ดี จึงต้องรับผิดเมื่อการกระทำนั้น
มีกฎหมายบัญญัติให้รับโทษ แม้กระทำโดยประมาท ตาม ม 62 ว 2
) ฎ 872/2510 เป็นกรรมเดียว ม 90 ลงโทษ ม 288 + 69
-
(ขส อ 2522/ 9) นายศักดิ์ประกันตัวต่อศาลแล้ว ไปท้านายสม
นายสมนำสำเนาหมายจับเดิมไปให้ตำรวจจับอีก ไม่ได้อยู่ในดุลพินิจของตำรวจ นายสมผิด ม
310 ฎ 2060/2521 / นายศักดิ์ท้าให้จับไม่ผิด
ตำรวจจับตามหมายโดยสำคัญผิด ไม่ผิด ม 62
-
(ขส อ 2530/ 5) ก จับ ข ลักทรัพย์ ส่งตำรวจ นาย ค คิดว่า ก เป็นตำรวจ เข้าช่วยให้ ข หลบหนี
/ ก มีอำนาจจับตาม ปวิอ ม 79 ไม่ผิด /
ค ผิด ม 191+81 (อ เกียรติขจร
ถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอก แล้วไม่ผิดพยายาม)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น